10 ภาษา ที่ประชากรโลกใช้พูดสื่อสาร
ติดต่อกันมากที่สุด 10 ลำดับมีดังนี้
--------------------------------------------------------------------------------
1.) ภาษาแมนดาริน (จีนกลาง) ประมาณ 460,000,000 คน
2.) ภาษาอังกฤษ ประมาณ 250,000,000 คน
3.) ภาษาสเปน ประมาณ 140,000,000 คน
4.) ภาษารัสเซีย ประมาณ 130,000,000 คน
5.) ภาษาเยอรมัน ประมาณ 100,000,000 คน
6.) ภาษาอาราบิค ประมาณ 95,000,000 คน
7.) ภาษาญี่ปุ่น ประมาณ 80,000,000 คน
8.) ภาษาเบงคารี (ปากีสถาน-อินเดีย) ประมาณ 75,000,000 คน
9.) ภาษาปอร์ตุเกส ประมาณ 75,000,000 คน
10.) ภาษาอูรดู (ปากีสถาน-อินเดีย) ประมาณ 75,000,000 คน
10.31.2551
10.09.2551
อเมริกัน กับ ยุโรป
คนเปรียบเทียบ นิติภูมิ นวรัตน์
>
> แสดงความคิดเห็น
>
> กลับถึงเมืองไทย ได้รับอีเมล์จากผู้อ่านท่านขอให้เปรียบเทียบนิสัยใจคอ
> ของคนยุโรปกับคนอเมริกัน จากนั้นท่านก็ถามว่า
> คนอเมริกันแตกต่างจากคนยุโรปอย่างไรคะ? ก็ขออนุญาตออกตัวไว้ซะก่อนว่า
> นี่คือความเห็นส่วนตัวของนิติภูมิคนเดียว
> สำหรับผม ผมเห็นว่า คนยุโรปมีความเป็นระเบียบและมี วินัยมากกว่าคนอเมริกัน
> ผู้อ่านท่านที่เคารพคงทราบดี สังคมอเมริกันเกิดจากพวกปฏิเสธกฎระเบียบของยุโรป
> จึงพากันอพยพไปหาแผ่นดินใหม่
> คนที่ออกจากแผ่นดินยุโรปไปอเมริกาในยุคแรกเริ่มเดิมที
> เป็นพวกที่อยู่ร่วมสังคมเดิมไม่ได้ บางคนก็เป็นอันธพาล เป็นนักแสวงโชค
> เป็นนักผจญภัย ฯลฯ สังคมอเมริกันในยุคที่ก่อกำเนิดเกิดชาติสหรัฐอเมริกาใหม่ๆ
> เป็นสังคมไร้ระเบียบ ไม่มีวินัย คนที่แข็งแรงกว่าเท่านั้นจึงจะอยู่รอด
> ชีวิตและจิตวิญญาณของคนอเมริกันจึงชอบสงคราม
> ไหนจะต้องทะเลาะกันเองเพื่อความอยู่รอด
> ไหนจะต้องทำสงครามกับพวกเจ้าของทวีปที่อยู่ตั้งแต่ดั้งเดิม คือพวกอินเดียนแดง
> ว่ากันตามความเป็นจริง
>
แผ่นดินอเมริกาทุกตารางนิ้วถูกสร้างมาจากการแย่งชิงและทำลายล้างเผ่าพันธุ์คนพื้
> นเมือง ทำลายเสร็จ คนขาวก็เข้าครอบครองเพื่อขุดทอง ทำการเกษตร ล่าสัตว์ ฯลฯ
> แล้วก็อยู่กันเป็นกลุ่มๆ กลุ่มใครกลุ่มมัน แต่ละกลุ่มก็ยังห้ำหั่นกัน
> สิ่งที่ประกันความปลอดภัยให้สังคมอเมริกันในยุคก่อเกิดมีเพียงสองสามอย่าง
ก็คือ
> อาวุธและ การต่อสู้
> จิตใจของคนอเมริกันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจึงก้าวร้าวกว่าคนยุโรป
> ซึ่งพวกยุโรปเป็นกลุ่มคนที่ถูกกลมกล่อมด้วยเสียงดนตรีและศาสนา
> พูดถึงเรื่องความเกรงใจ ผมว่าคนเอเชียและคนแอฟริกันยังมีมากกว่าคนทวีปอื่น
> รองไปจากนั้น ก็เห็นจะเป็นพวกยุโรปและออสเตรเลีย ส่วนคนอเมริกัน
> ท่านอย่าไปหาความเกรงใจเลยครับ ไม่มี แถมยังไม่อ่อนน้อมถ่อมตน
> ไม่มีการประนีประนอม คนอเมริกันคิดว่า คนที่มีบุคลิกภาพประนีประนอม เป็นพวก
> “อ่อนแอ” เป็นมนุษย์ที่ “ไม่น่าคบ”
> นักการเมืองไทยหลายท่าน แม้ว่าจะสำเร็จการศึกษาจากสหรัฐอเมริกามาก็ตาม
> แต่ก็ยังไม่เข้าใจสิ่งที่อยู่ใต้สมองของคนอเมริกัน
เมื่อเดินทางไปเยือนอเมริกา
> ก็จะเปล่งแต่ปิยวาจาและมีกิริยาอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่กล้าเจรจา ไม่กล้าต่อรอง
ฯลฯ
> นายกรัฐมนตรีของเราบางท่านเอาแต่เอ่ย จ้ะ จ้ะ
> แล้วก็เสงี่ยมเจียมตัวนั่งยังกะลิงป่วยต่อหน้าประธานาธิบดีของสหรัฐฯ
> โดยนึกอยู่ในใจว่า อ้า อ้า ข้าจะต้องทำตัวให้น่ารัก
> เพื่อนักการเมืองของอเมริกาจะได้เอ็นดู แต่ที่ไหนได้ คนอเมริกันกลับคิดว่า
> ไอ้ผู้นำบ้าคนนี้นี่ บุคลิกภาพใช้ไม่ได้ ขี้ขลาด อ่อนแอ
> ความอ่อนน้อมถ่อมตนและความเกรงใจ ยังนำไปใช้ได้ผลในสังคมยุโรปครับ
ในสังคมยุโรป
> ผู้คนยังสนใจ “วิธีการ” กันอยู่บ้าง ส่วนสังคมอเมริกัน สนใจกันแต่ “เป้าหมาย”
> ขอให้ไปถึงเป้าหมายให้ได้ เท่านั้นเป็นพอ
> สังคมไทยดูหมิ่นถิ่นแคลนรายการโทรทัศน์และภาพยนตร์ของเอเชียและแอฟริกา
> หรือแม้แต่ของยุโรป คนของเราดูหนังอเมริกันมากไป
> ปรัชญาการใช้ชีวิตของคนไทยจึงเปลี่ยน
> ไปตามที่ภาพยนตร์อเมริกันหล่อหลอมเราให้เป็น คือ ทุกวินาทีสมองคิดถึงแต่
> “เป้าหมาย” เช่น ข้าจะรวยให้ได้ ข้าจะต้องเป็นรัฐมนตรีให้ได้
> เป็นนายกรัฐมนตรีให้ได้ เป็นอธิบดีให้ได้ โดยไม่คำนึงถึง “วิธีการ”
> รวยโดยการโกงชาติบ้านเมือง ก็เอา ซื้อเสียงให้ได้เป็น ส.ส.
> เพื่อไต่ไปเป็นรัฐมนตรี ก็เอา เลี้ยง ส.ส. เป็นคอกๆ เหมือนเลี้ยงหมูเลี้ยงหมา
> ก็เอา วิ่งเต้นซื้อตำแหน่งเพื่อไต่จนได้เป็นถึงอธิบดี ก็เอา
> แผ่นดินถิ่นไทยในปัจจุบันของเรา จึงเต็มไปด้วยเศรษฐีโจร รัฐมนตรีขี้โกง
> นายกรัฐมนตรีบ้าอำนาจ อธิบดีเก้าอี้ซื้อ ฯลฯ นี่แหละครับ
> ผลพวงจากการเลียนแบบชีวิตจากสังคมอเมริกัน โดยละทิ้งปรัชญาเดิมของยุโรป
> เอเชียและแอฟริกา
> รับใช้คำถามที่ผู้อ่านท่านส่งมาว่า คนอเมริกันแตกต่างจากคนยุโรปอย่างไร?
> ผู้อ่านท่านที่เคารพครับ
> คนยุโรปยังเป็นพวกที่มีจิตกรุณาและเชื่อพระเจ้าอยู่บ้าง
> ส่วนคนอเมริกันเชื่อในอำนาจมนุษย์มากกว่าอำนาจของพระเจ้า
>
เมื่อเชื่ออย่างนี้ก็เลยมีการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์กันมากมายเพื่อที่จะเอา
> ชนะธรรมชาติ เมื่อไม่คำนึงถึงศาสนา ในสังคมอเมริกันจึงไม่มีบาป บุญ คุณ โทษ
ฯลฯ
> เหมือนคนยุโรป (และคนเอเชียกับคนแอฟริกัน)
> อเมริกาจึงโกหกได้อย่างไม่ละอายบาป ผู้อ่านท่านลองใช้เวลาเงียบๆ
> นึกตรึกตรองดูเถิดครับ คนอเมริกันมีแต่จับผิดและโยนความผิดไปให้คนอื่น
> คนอื่นเลว คนอื่นไม่ดี
> ในขณะเดียวกันมาตรฐานที่ใช้วัดเพื่อตำหนิติเตียนผู้อื่นนั้น
> ใช้วัดคนอเมริกันไม่ได้
> เมื่อตอนที่มีการก่อวินาศกรรมตึกเวิลด์เทรด เมื่อ 11 ก.ย. 2544
> แผ่นดินอเมริกันน่ะสุดแสนจะอันตราย
> แม้แต่น่านฟ้าและกระทรวงกลาโหมของตัวเองยังป้องกันไม่ได้ ก็ไม่เห็นมีใคร
> ประเทศไหนซํ้าเติมด้วยการออกมาประกาศเตือนพลเมืองของตัวว่าอย่าไปอเมริกา
> เพราะเป็นแดนดินถิ่อันตราย รัฐบาลแทบทุกประเทศมีแต่ให้ความเห็นใจ
> ส่งสารแสดงความเสียใจกันว่อนไปทั้งอากาศ
> แถมยังยินยอมพร้อมกันร่วมมือต่อต้านการก่อการร้าย
> ปีนี้มีระเบิดเกิดขึ้นที่บาหลี อินโดนีเซีย เป็นดินแดนแสนไกลจากเมืองไทยแท้ๆ
> รัฐบาลอเมริกันยังประกาศไปทั่วโลกว่า ประเทศไทยอันตราย
> ทำให้การท่องเที่ยวของเราพังพาบ เศรษฐกิจของเราย่อยยับ
> มาตรฐานอย่างนี้นี่แหละครับ ที่รัฐบาลอเมริกันไม่ยุติธรรม
> หรืออย่างการตรวจอาวุธในอิรัก ผู้อ่านท่านลองนึกซีครับ
> ใครมีอาวุธร้ายอยู่ในความครอบครองมากกว่ากัน ระหว่างอเมริกากับอิรัก?
> และใครใช้อาวุธร้ายทำลายชีวิตมนุษย์มากกว่ากัน
> อเมริกาเข่นฆ่ามนุษย์ด้วยอาวุธร้ายไปเป็นล้านๆ คนแล้ว
> นับตั้งแต่ไปทิ้งระเบิดปรมาณู ที่ฮิโรชิมากับนางาซากิ
> ลองนึกถึงระเบิดที่เกิดทุกตารางกิโลเมตรในเวียดนามซี
> ในอิรักนี่มนุษย์ผู้บริสุทธิ์ก็โดนฆ่าตาย โดยทหารอเมริกันไปเท่าไร?
> มาตรฐานวัดประเภท “ข้าถูกคนเดียว คนอื่นเลวหมด” อย่างนี้
> ปัจจุบันถูกฝังลึกลงไปใต้สมองของคนอเมริกัน
ในขณะที่ผู้คนในทวีปยุโรปหลายประเทศ
> ยังพอมีความยุติธรรมอยู่บ้าง
> คนยุโรปในหลายประเทศ โดยเฉพาะพวกที่อยู่ในภูมิภาคสแกนดิเนเวีย
> อยากจะอยู่ในโลกอย่างแบ่งปันความสุขกันทุกทั่วตัวคน แต่คนชนชั้นนำของอเมริกัน
> ทั้งพวกชั้นนำที่เป็นนักการเมือง นักธุรกิจ นักการสื่อสารมวลชน นักการศึกษา
ฯลฯ
> คิดอยู่อย่างเดียวว่า ข้า “จะต้องครองโลก” ให้ได้ ใครขัดขืนคนนั้นเลว
> เป็นคนที่อเมริกาต้องกำจัดไปให้พ้น ผู้นำหลายท่านของหลายประเทศเป็นคนดีของแท้
> แต่ขัดประโยชน์อเมริกา ไม่ยอมให้นักธุรกิจอเมริกันเข้ามาหาสัมปทานสูบเลือด
> ก็จะโดนสื่อมวลชนอเมริกันยำ เมื่อโดนข่าวเสียจนเหม็นไปทั้งโลกแล้ว
> รัฐบาลอเมริกันก็จัดการเปลี่ยนตัวผู้นำซะใหม่ แถมยังเอาผู้นำดีๆ
> ไปขังคุกเสียหลายท่าน
> อเมริกาเป็นพวกที่ยึดประโยชน์นิยมจ๋า
> สิ่งนี้แหละครับที่แตกต่างกันระหว่างอเมริกา กับยุโรป เพราะความที่ยึด
> “ประโยชน์นิยม” เป็นสรณะ ทำให้คนอเมริกันเป็นพวกที่ มีลักษณะก้าวร้าว
> พร้อมจะแตกหัก และไม่เคยให้อะไรใครฟรี
> ผู้อ่านท่านเคยสังเกตนักเศรษฐศาสตร์ในบ้านเราหลายคน
> ที่ถูกการศึกษาแบบอเมริกันครอบกะโหลกบ้างไหมครับ ถ้าเป็นพวกที่บ้าอเมริกา
> เป็นมนุษย์พันธุ์ไทยใจอเมริกันนิยม นักวิชาเกินวิชาแกนเหล่านี้
> จะพยายามกล่อมคนไทยด้วยการเขียนหนังสือประเภท “ในโลกนี้ไม่มีอะไรฟรี”
> ออกเป็นพ็อกเกตบุ๊กบ้าง เขียนเป็นบทความไปลงตาม หนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ บ้าง
> เพื่อให้คนไทยรุ่นใหม่ยอมรับให้ได้ถึงปรัชญา “ประโยชน์นิยม” และ “กูนิยม”
> ในขณะที่นักวิชาการผู้สนใจยุโรป จะไม่ค่อยคำนึงถึงสิ่งนี้
> ยิ่งถ้าเป็นคนเอเชียพวกที่ เห็นใจในมนุษย์ด้วยกัน พวกนี้ถึงขนาดมีปรัชญา
> “บุญนิยม” เสียด้วยซ้ำ
> ผู้อ่านท่านที่เคารพครับ ผมเขียนคอลัมน์ทั้งสองวันนี้
> โดยที่ตั้งใจว่าจะไม่ตรวจทานและไม่แก้เลย
> ประสงค์ก็คือต้องการให้ออกมาจากความรู้สึกจริงๆ
> ว่าคิดยังไงกับคนอเมริกันและคนยุโรป.
>
> แสดงความคิดเห็น
>
> กลับถึงเมืองไทย ได้รับอีเมล์จากผู้อ่านท่านขอให้เปรียบเทียบนิสัยใจคอ
> ของคนยุโรปกับคนอเมริกัน จากนั้นท่านก็ถามว่า
> คนอเมริกันแตกต่างจากคนยุโรปอย่างไรคะ? ก็ขออนุญาตออกตัวไว้ซะก่อนว่า
> นี่คือความเห็นส่วนตัวของนิติภูมิคนเดียว
> สำหรับผม ผมเห็นว่า คนยุโรปมีความเป็นระเบียบและมี วินัยมากกว่าคนอเมริกัน
> ผู้อ่านท่านที่เคารพคงทราบดี สังคมอเมริกันเกิดจากพวกปฏิเสธกฎระเบียบของยุโรป
> จึงพากันอพยพไปหาแผ่นดินใหม่
> คนที่ออกจากแผ่นดินยุโรปไปอเมริกาในยุคแรกเริ่มเดิมที
> เป็นพวกที่อยู่ร่วมสังคมเดิมไม่ได้ บางคนก็เป็นอันธพาล เป็นนักแสวงโชค
> เป็นนักผจญภัย ฯลฯ สังคมอเมริกันในยุคที่ก่อกำเนิดเกิดชาติสหรัฐอเมริกาใหม่ๆ
> เป็นสังคมไร้ระเบียบ ไม่มีวินัย คนที่แข็งแรงกว่าเท่านั้นจึงจะอยู่รอด
> ชีวิตและจิตวิญญาณของคนอเมริกันจึงชอบสงคราม
> ไหนจะต้องทะเลาะกันเองเพื่อความอยู่รอด
> ไหนจะต้องทำสงครามกับพวกเจ้าของทวีปที่อยู่ตั้งแต่ดั้งเดิม คือพวกอินเดียนแดง
> ว่ากันตามความเป็นจริง
>
แผ่นดินอเมริกาทุกตารางนิ้วถูกสร้างมาจากการแย่งชิงและทำลายล้างเผ่าพันธุ์คนพื้
> นเมือง ทำลายเสร็จ คนขาวก็เข้าครอบครองเพื่อขุดทอง ทำการเกษตร ล่าสัตว์ ฯลฯ
> แล้วก็อยู่กันเป็นกลุ่มๆ กลุ่มใครกลุ่มมัน แต่ละกลุ่มก็ยังห้ำหั่นกัน
> สิ่งที่ประกันความปลอดภัยให้สังคมอเมริกันในยุคก่อเกิดมีเพียงสองสามอย่าง
ก็คือ
> อาวุธและ การต่อสู้
> จิตใจของคนอเมริกันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจึงก้าวร้าวกว่าคนยุโรป
> ซึ่งพวกยุโรปเป็นกลุ่มคนที่ถูกกลมกล่อมด้วยเสียงดนตรีและศาสนา
> พูดถึงเรื่องความเกรงใจ ผมว่าคนเอเชียและคนแอฟริกันยังมีมากกว่าคนทวีปอื่น
> รองไปจากนั้น ก็เห็นจะเป็นพวกยุโรปและออสเตรเลีย ส่วนคนอเมริกัน
> ท่านอย่าไปหาความเกรงใจเลยครับ ไม่มี แถมยังไม่อ่อนน้อมถ่อมตน
> ไม่มีการประนีประนอม คนอเมริกันคิดว่า คนที่มีบุคลิกภาพประนีประนอม เป็นพวก
> “อ่อนแอ” เป็นมนุษย์ที่ “ไม่น่าคบ”
> นักการเมืองไทยหลายท่าน แม้ว่าจะสำเร็จการศึกษาจากสหรัฐอเมริกามาก็ตาม
> แต่ก็ยังไม่เข้าใจสิ่งที่อยู่ใต้สมองของคนอเมริกัน
เมื่อเดินทางไปเยือนอเมริกา
> ก็จะเปล่งแต่ปิยวาจาและมีกิริยาอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่กล้าเจรจา ไม่กล้าต่อรอง
ฯลฯ
> นายกรัฐมนตรีของเราบางท่านเอาแต่เอ่ย จ้ะ จ้ะ
> แล้วก็เสงี่ยมเจียมตัวนั่งยังกะลิงป่วยต่อหน้าประธานาธิบดีของสหรัฐฯ
> โดยนึกอยู่ในใจว่า อ้า อ้า ข้าจะต้องทำตัวให้น่ารัก
> เพื่อนักการเมืองของอเมริกาจะได้เอ็นดู แต่ที่ไหนได้ คนอเมริกันกลับคิดว่า
> ไอ้ผู้นำบ้าคนนี้นี่ บุคลิกภาพใช้ไม่ได้ ขี้ขลาด อ่อนแอ
> ความอ่อนน้อมถ่อมตนและความเกรงใจ ยังนำไปใช้ได้ผลในสังคมยุโรปครับ
ในสังคมยุโรป
> ผู้คนยังสนใจ “วิธีการ” กันอยู่บ้าง ส่วนสังคมอเมริกัน สนใจกันแต่ “เป้าหมาย”
> ขอให้ไปถึงเป้าหมายให้ได้ เท่านั้นเป็นพอ
> สังคมไทยดูหมิ่นถิ่นแคลนรายการโทรทัศน์และภาพยนตร์ของเอเชียและแอฟริกา
> หรือแม้แต่ของยุโรป คนของเราดูหนังอเมริกันมากไป
> ปรัชญาการใช้ชีวิตของคนไทยจึงเปลี่ยน
> ไปตามที่ภาพยนตร์อเมริกันหล่อหลอมเราให้เป็น คือ ทุกวินาทีสมองคิดถึงแต่
> “เป้าหมาย” เช่น ข้าจะรวยให้ได้ ข้าจะต้องเป็นรัฐมนตรีให้ได้
> เป็นนายกรัฐมนตรีให้ได้ เป็นอธิบดีให้ได้ โดยไม่คำนึงถึง “วิธีการ”
> รวยโดยการโกงชาติบ้านเมือง ก็เอา ซื้อเสียงให้ได้เป็น ส.ส.
> เพื่อไต่ไปเป็นรัฐมนตรี ก็เอา เลี้ยง ส.ส. เป็นคอกๆ เหมือนเลี้ยงหมูเลี้ยงหมา
> ก็เอา วิ่งเต้นซื้อตำแหน่งเพื่อไต่จนได้เป็นถึงอธิบดี ก็เอา
> แผ่นดินถิ่นไทยในปัจจุบันของเรา จึงเต็มไปด้วยเศรษฐีโจร รัฐมนตรีขี้โกง
> นายกรัฐมนตรีบ้าอำนาจ อธิบดีเก้าอี้ซื้อ ฯลฯ นี่แหละครับ
> ผลพวงจากการเลียนแบบชีวิตจากสังคมอเมริกัน โดยละทิ้งปรัชญาเดิมของยุโรป
> เอเชียและแอฟริกา
> รับใช้คำถามที่ผู้อ่านท่านส่งมาว่า คนอเมริกันแตกต่างจากคนยุโรปอย่างไร?
> ผู้อ่านท่านที่เคารพครับ
> คนยุโรปยังเป็นพวกที่มีจิตกรุณาและเชื่อพระเจ้าอยู่บ้าง
> ส่วนคนอเมริกันเชื่อในอำนาจมนุษย์มากกว่าอำนาจของพระเจ้า
>
เมื่อเชื่ออย่างนี้ก็เลยมีการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์กันมากมายเพื่อที่จะเอา
> ชนะธรรมชาติ เมื่อไม่คำนึงถึงศาสนา ในสังคมอเมริกันจึงไม่มีบาป บุญ คุณ โทษ
ฯลฯ
> เหมือนคนยุโรป (และคนเอเชียกับคนแอฟริกัน)
> อเมริกาจึงโกหกได้อย่างไม่ละอายบาป ผู้อ่านท่านลองใช้เวลาเงียบๆ
> นึกตรึกตรองดูเถิดครับ คนอเมริกันมีแต่จับผิดและโยนความผิดไปให้คนอื่น
> คนอื่นเลว คนอื่นไม่ดี
> ในขณะเดียวกันมาตรฐานที่ใช้วัดเพื่อตำหนิติเตียนผู้อื่นนั้น
> ใช้วัดคนอเมริกันไม่ได้
> เมื่อตอนที่มีการก่อวินาศกรรมตึกเวิลด์เทรด เมื่อ 11 ก.ย. 2544
> แผ่นดินอเมริกันน่ะสุดแสนจะอันตราย
> แม้แต่น่านฟ้าและกระทรวงกลาโหมของตัวเองยังป้องกันไม่ได้ ก็ไม่เห็นมีใคร
> ประเทศไหนซํ้าเติมด้วยการออกมาประกาศเตือนพลเมืองของตัวว่าอย่าไปอเมริกา
> เพราะเป็นแดนดินถิ่อันตราย รัฐบาลแทบทุกประเทศมีแต่ให้ความเห็นใจ
> ส่งสารแสดงความเสียใจกันว่อนไปทั้งอากาศ
> แถมยังยินยอมพร้อมกันร่วมมือต่อต้านการก่อการร้าย
> ปีนี้มีระเบิดเกิดขึ้นที่บาหลี อินโดนีเซีย เป็นดินแดนแสนไกลจากเมืองไทยแท้ๆ
> รัฐบาลอเมริกันยังประกาศไปทั่วโลกว่า ประเทศไทยอันตราย
> ทำให้การท่องเที่ยวของเราพังพาบ เศรษฐกิจของเราย่อยยับ
> มาตรฐานอย่างนี้นี่แหละครับ ที่รัฐบาลอเมริกันไม่ยุติธรรม
> หรืออย่างการตรวจอาวุธในอิรัก ผู้อ่านท่านลองนึกซีครับ
> ใครมีอาวุธร้ายอยู่ในความครอบครองมากกว่ากัน ระหว่างอเมริกากับอิรัก?
> และใครใช้อาวุธร้ายทำลายชีวิตมนุษย์มากกว่ากัน
> อเมริกาเข่นฆ่ามนุษย์ด้วยอาวุธร้ายไปเป็นล้านๆ คนแล้ว
> นับตั้งแต่ไปทิ้งระเบิดปรมาณู ที่ฮิโรชิมากับนางาซากิ
> ลองนึกถึงระเบิดที่เกิดทุกตารางกิโลเมตรในเวียดนามซี
> ในอิรักนี่มนุษย์ผู้บริสุทธิ์ก็โดนฆ่าตาย โดยทหารอเมริกันไปเท่าไร?
> มาตรฐานวัดประเภท “ข้าถูกคนเดียว คนอื่นเลวหมด” อย่างนี้
> ปัจจุบันถูกฝังลึกลงไปใต้สมองของคนอเมริกัน
ในขณะที่ผู้คนในทวีปยุโรปหลายประเทศ
> ยังพอมีความยุติธรรมอยู่บ้าง
> คนยุโรปในหลายประเทศ โดยเฉพาะพวกที่อยู่ในภูมิภาคสแกนดิเนเวีย
> อยากจะอยู่ในโลกอย่างแบ่งปันความสุขกันทุกทั่วตัวคน แต่คนชนชั้นนำของอเมริกัน
> ทั้งพวกชั้นนำที่เป็นนักการเมือง นักธุรกิจ นักการสื่อสารมวลชน นักการศึกษา
ฯลฯ
> คิดอยู่อย่างเดียวว่า ข้า “จะต้องครองโลก” ให้ได้ ใครขัดขืนคนนั้นเลว
> เป็นคนที่อเมริกาต้องกำจัดไปให้พ้น ผู้นำหลายท่านของหลายประเทศเป็นคนดีของแท้
> แต่ขัดประโยชน์อเมริกา ไม่ยอมให้นักธุรกิจอเมริกันเข้ามาหาสัมปทานสูบเลือด
> ก็จะโดนสื่อมวลชนอเมริกันยำ เมื่อโดนข่าวเสียจนเหม็นไปทั้งโลกแล้ว
> รัฐบาลอเมริกันก็จัดการเปลี่ยนตัวผู้นำซะใหม่ แถมยังเอาผู้นำดีๆ
> ไปขังคุกเสียหลายท่าน
> อเมริกาเป็นพวกที่ยึดประโยชน์นิยมจ๋า
> สิ่งนี้แหละครับที่แตกต่างกันระหว่างอเมริกา กับยุโรป เพราะความที่ยึด
> “ประโยชน์นิยม” เป็นสรณะ ทำให้คนอเมริกันเป็นพวกที่ มีลักษณะก้าวร้าว
> พร้อมจะแตกหัก และไม่เคยให้อะไรใครฟรี
> ผู้อ่านท่านเคยสังเกตนักเศรษฐศาสตร์ในบ้านเราหลายคน
> ที่ถูกการศึกษาแบบอเมริกันครอบกะโหลกบ้างไหมครับ ถ้าเป็นพวกที่บ้าอเมริกา
> เป็นมนุษย์พันธุ์ไทยใจอเมริกันนิยม นักวิชาเกินวิชาแกนเหล่านี้
> จะพยายามกล่อมคนไทยด้วยการเขียนหนังสือประเภท “ในโลกนี้ไม่มีอะไรฟรี”
> ออกเป็นพ็อกเกตบุ๊กบ้าง เขียนเป็นบทความไปลงตาม หนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ บ้าง
> เพื่อให้คนไทยรุ่นใหม่ยอมรับให้ได้ถึงปรัชญา “ประโยชน์นิยม” และ “กูนิยม”
> ในขณะที่นักวิชาการผู้สนใจยุโรป จะไม่ค่อยคำนึงถึงสิ่งนี้
> ยิ่งถ้าเป็นคนเอเชียพวกที่ เห็นใจในมนุษย์ด้วยกัน พวกนี้ถึงขนาดมีปรัชญา
> “บุญนิยม” เสียด้วยซ้ำ
> ผู้อ่านท่านที่เคารพครับ ผมเขียนคอลัมน์ทั้งสองวันนี้
> โดยที่ตั้งใจว่าจะไม่ตรวจทานและไม่แก้เลย
> ประสงค์ก็คือต้องการให้ออกมาจากความรู้สึกจริงๆ
> ว่าคิดยังไงกับคนอเมริกันและคนยุโรป.
ชั่วนิจนิรันด์
กุหลาบสีแดง...คือ..ดอกไม้สุดโปรดของเธอ และเธอก็ชื่อ...โรส ซึ่งหมายถึง..กุหลาบ..ด้วย
ทุกปี..สามีของเธอจะส่งดอกกุหลาบผูกโบว์น่ารักให้แม้กระทั่งปีที่เขาตายจากไป ……เธอก็ยังได้รับดอกกุหลาบ
ซึ่งมาส่งที่หน้าบ้าน การ์ดที่แนบมาเขียนไว้ว่า "ที่รักของผม" เหมือนกับหลาย ๆ ปี
ก่อนหน้านี้ แต่ละปีที่เขาส่งดอกกุหลาบให้เธอ เขาจะเขียนว่า ..
"ปีนี้ผมรักคุณ...มากกว่าที่ผมเคยรัก..เมื่อปีก่อน เพราะความรักของผม..เติบโดขึ้นทุกปีที่ผ่านไป"
เธอรู้ว่า นี่คือกุหลาบช่อสุดท้ายแล้ว..ที่เธอจะได้รับ
เธอคิดว่า..เขาคงสั่งดอกไม้ล่วงหน้า ก่อนถึงวันวาเลนไทน์
โดยที่เขาไม่รู้ว่า...เขาจะจากไป เขามักจะทำอะไร..เอาไว้ล่วงหน้าเสมอ เพื่อที่จะได้ไม่พลาด
แม้ว่าเขาจะงานยุ่งแค่ไหนก็ตาม …….
เธอตัดก้านกุหลาบ แล้วจัดมันลงในแจกันสุดพิเศษ วางไว้..
ข้างภาพถ่ายใบหน้าเปื้อนยิ้มของสามี นั่งลงบนเก้าอี้ตัวโปรดของเขา
เนิ่นนานนับชั่วโมง จ้องมองภาพถ่ายของเขา ที่มีดอกกุหลาบอยู่ด้านข้าง
หนึ่งปีผ่านไป มันยากมากสำหรับการที่ต้องอยู่คนเดียว
โชคชะตา..บันดาลให้เธอ ต้องกลายเป็นคนอ้างว้าง-เปล่าเปลี่ยว
แล้วกริ่งประตูก็ดังขึ้นเหมือนวันวาเลนไทน์ปีก่อน ๆ
เมื่อเธอเปิดประตู ...ก็พบกุหลาบแดงวางอยู่ที่หน้าประตู
เธอนำมันเข้ามาในบ้าน และรู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้รับ
ในที่สุด เธอก็กดโทรศัพท์ไปที่ร้านดอกไม้ เมื่อเจ้าของร้านมารับสาย
เธอจึงถามเขาว่า "ทำไมถึงมีคนส่งดอกไม้ให้ฉันล่ะ"
ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวด
"ผมทราบว่า..สามีของคุณจากคุณไปเมื่อปีที่แล้ว"
เจ้าของร้านตอบ "และผมก็รู้ว่า...คุณต้องโทรมา และอยากรู้ว่า...
ใครส่งดอกไม้ไปให้คุณ" "ดอกไม้ที่คุณได้รับวันนี้ชำระเงินล่วงหน้า
เรียบร้อยแล้วครับ …สามีคุณ...เป็นคนสั่งดอกไม้ โดยเตรียมการไว้ล่วงหน้า
ผมยังมีคำสั่งซื้อดอกไม้จากเขา เก็บเอาไว้ในแฟ้มอีก
ผมได้รับคำสั่งให้ส่งดอกไม้ให้คุณทุกปี ยังมีอีกเรื่องนะครับ ....
ที่ผมคิดว่าคุณควรจะทราบ เขาเขียนการ์ดพิเศษเอาไว้ให้คุณใบหนึ่ง
เมื่อหลายปีที่แล้ว และเขาต้องการให้ผมส่งการ์ดนี้แก่คุณ
ในปีถัดจากปีที่เขาจากคุณไปแล้ว" เธอกล่าวขอบคุณเจ้าของร้านดอกไม้
แล้ววางโทรศัพท์ น้ำตาไหลอาบแก้ม นิ้วของเธอสั่นระริก....
ขณะเอื้อมมือไปหยิบการ์ดใบนั้น …บนการ์ดมีลายมือของเขา..
ที่เขียนถึงเธอ แล้วเธอก็เริ่มอ่านมันอย่างเงียบ ๆ
ในการ์ดเขียนว่า "หวัดดีจ้ะที่รัก ถึงตอนนี้ผมได้จากคุณไปหนึ่งปีแล้ว
หวังว่า..มันคงไม่ทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยเกินไปในการต่อสู้กับปีที่ผ่านมานะ
ผมรู้ว่าคุณคงรู้สึกอ้างว้างและเจ็บปวด ถ้าเป็นผมก็คงรู้สึกไม่ต่างจากคุณ
ความรักของเราสองคน ทำให้ทุกสิ่งในชีวิตดูงดงามไปหมด
ผมรักคุณมาก..เกินกว่าที่จะบรรยายได้คุณคือภรรยาที่สมบูรณ์แบบ
คุณเป็นทั้งเพื่อนและคนรัก คุณเติมชีวิตผมให้เต็ม ....
ผมรู้ว่ามันเพิ่งผ่านไปได้แค่ปีเดียว....แต่ผมไม่อยากให้คุณตกอยู่ในความเศร้า
ผมอยากให้คุณมีความสุข ....แม้กระทั่งเวลาที่คุณหลั่งน้ำตา....
และนี่คือเหตุผลว่า..ทำไมผมจะยังคงส่งดอกไม้ให้คุณ ต่อจากนี้อีกหลายปี
เมื่อคุณได้รับดอกกุหลาบ ....... ผมอยากให้คุณนึกถึงความสุข......
ตลอดระยะเวลาที่เราได้รักกัน ผมรักคุณเสมอ และรู้ว่ามันจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป
แต่ที่รัก ...คุณต้องต่อสู้ต่อไป ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป
ได้โปรดมองหาความสุข
ตลอดวันเวลาที่คุณยังมีชีวิตอยู่ ผมรู้ว่ามันไม่ง่าย …..
หากหวังว่าคุณคงไปถึงมันได้สักวัน กุหลาบจะส่งถึงคุณทุกปี และจะหยุดส่ง
ก็ต่อเมื่อ..คนที่มาส่งดอกไม้เคาะประตูแล้ว ไม่มีใครมาเปิดรับ …..
เขาจะมาส่งห้าครั้งในวันนั้น เผื่อว่าคุณจะออกไปธุระข้างนอก
หากครบห้าครั้งแล้ว ยังมอบดอกกุกลาบให้คุณไม่ได้
เขาจะรู้เองว่าต้องนำดอกไม้ ไปยังสถานที่ที่ผมสั่งเอาไว้
ดอกกุหลาบจะวางลง ...............บนที่ที่เราจะได้อยู่ร่วมกันอีกครั้ง....ชั่วนิรันดร์" ............
อยากบอกว่า.... ให้คุณลองมองย้อนกลับไปใส่ใจกับความรักมากขึ้น และนึกดูนะว่า
มีอะไรที่อยากทำแต่ยังไม่ได้ทำ กับใครคนนั้นที่มีความสำคัญกับชีวิตคุณ
จงรีบทำมันซะ แม้ว่าผลที่ตอบกลับมา อาจจะไม่ใช่คำตอบอย่างที่คุณต้องการ
แม้ว่าเค้าอาจจะไม่ได้รับรักคุณ แต่อย่างน้อย คุณก็ได้ทำในสิ่งที่ใจคุณปรารถนาแล้ว
เค้าคนนั้นก็ได้รับรู้ความรู้สึกในใจคุณแล้ว .....เท่านี้ก็เกินพอ
.........ดีกว่ารอวันที่เค้าจากไปอย่างชั่วนิรันดร์ แล้วมานั่งเสียดาย ว่าทำไมตอนนั้น ถึงไม่กล้านะ.....
"แม้โชคชะตา ไม่ได้กำหนดมาให้เราได้เป็นคู่กัน แต่อย่างน้อยเค้าก็กำหนดให้เราได้รู้จักกันแล้วนะ"
-- ความรักไม่มีคำว่าบังเอิญหรอก มีแต่คำว่า ตั้งใจ --
ถึง....ทุกคนที่กำลัง มีความรัก
ทุกปี..สามีของเธอจะส่งดอกกุหลาบผูกโบว์น่ารักให้แม้กระทั่งปีที่เขาตายจากไป ……เธอก็ยังได้รับดอกกุหลาบ
ซึ่งมาส่งที่หน้าบ้าน การ์ดที่แนบมาเขียนไว้ว่า "ที่รักของผม" เหมือนกับหลาย ๆ ปี
ก่อนหน้านี้ แต่ละปีที่เขาส่งดอกกุหลาบให้เธอ เขาจะเขียนว่า ..
"ปีนี้ผมรักคุณ...มากกว่าที่ผมเคยรัก..เมื่อปีก่อน เพราะความรักของผม..เติบโดขึ้นทุกปีที่ผ่านไป"
เธอรู้ว่า นี่คือกุหลาบช่อสุดท้ายแล้ว..ที่เธอจะได้รับ
เธอคิดว่า..เขาคงสั่งดอกไม้ล่วงหน้า ก่อนถึงวันวาเลนไทน์
โดยที่เขาไม่รู้ว่า...เขาจะจากไป เขามักจะทำอะไร..เอาไว้ล่วงหน้าเสมอ เพื่อที่จะได้ไม่พลาด
แม้ว่าเขาจะงานยุ่งแค่ไหนก็ตาม …….
เธอตัดก้านกุหลาบ แล้วจัดมันลงในแจกันสุดพิเศษ วางไว้..
ข้างภาพถ่ายใบหน้าเปื้อนยิ้มของสามี นั่งลงบนเก้าอี้ตัวโปรดของเขา
เนิ่นนานนับชั่วโมง จ้องมองภาพถ่ายของเขา ที่มีดอกกุหลาบอยู่ด้านข้าง
หนึ่งปีผ่านไป มันยากมากสำหรับการที่ต้องอยู่คนเดียว
โชคชะตา..บันดาลให้เธอ ต้องกลายเป็นคนอ้างว้าง-เปล่าเปลี่ยว
แล้วกริ่งประตูก็ดังขึ้นเหมือนวันวาเลนไทน์ปีก่อน ๆ
เมื่อเธอเปิดประตู ...ก็พบกุหลาบแดงวางอยู่ที่หน้าประตู
เธอนำมันเข้ามาในบ้าน และรู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้รับ
ในที่สุด เธอก็กดโทรศัพท์ไปที่ร้านดอกไม้ เมื่อเจ้าของร้านมารับสาย
เธอจึงถามเขาว่า "ทำไมถึงมีคนส่งดอกไม้ให้ฉันล่ะ"
ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวด
"ผมทราบว่า..สามีของคุณจากคุณไปเมื่อปีที่แล้ว"
เจ้าของร้านตอบ "และผมก็รู้ว่า...คุณต้องโทรมา และอยากรู้ว่า...
ใครส่งดอกไม้ไปให้คุณ" "ดอกไม้ที่คุณได้รับวันนี้ชำระเงินล่วงหน้า
เรียบร้อยแล้วครับ …สามีคุณ...เป็นคนสั่งดอกไม้ โดยเตรียมการไว้ล่วงหน้า
ผมยังมีคำสั่งซื้อดอกไม้จากเขา เก็บเอาไว้ในแฟ้มอีก
ผมได้รับคำสั่งให้ส่งดอกไม้ให้คุณทุกปี ยังมีอีกเรื่องนะครับ ....
ที่ผมคิดว่าคุณควรจะทราบ เขาเขียนการ์ดพิเศษเอาไว้ให้คุณใบหนึ่ง
เมื่อหลายปีที่แล้ว และเขาต้องการให้ผมส่งการ์ดนี้แก่คุณ
ในปีถัดจากปีที่เขาจากคุณไปแล้ว" เธอกล่าวขอบคุณเจ้าของร้านดอกไม้
แล้ววางโทรศัพท์ น้ำตาไหลอาบแก้ม นิ้วของเธอสั่นระริก....
ขณะเอื้อมมือไปหยิบการ์ดใบนั้น …บนการ์ดมีลายมือของเขา..
ที่เขียนถึงเธอ แล้วเธอก็เริ่มอ่านมันอย่างเงียบ ๆ
ในการ์ดเขียนว่า "หวัดดีจ้ะที่รัก ถึงตอนนี้ผมได้จากคุณไปหนึ่งปีแล้ว
หวังว่า..มันคงไม่ทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยเกินไปในการต่อสู้กับปีที่ผ่านมานะ
ผมรู้ว่าคุณคงรู้สึกอ้างว้างและเจ็บปวด ถ้าเป็นผมก็คงรู้สึกไม่ต่างจากคุณ
ความรักของเราสองคน ทำให้ทุกสิ่งในชีวิตดูงดงามไปหมด
ผมรักคุณมาก..เกินกว่าที่จะบรรยายได้คุณคือภรรยาที่สมบูรณ์แบบ
คุณเป็นทั้งเพื่อนและคนรัก คุณเติมชีวิตผมให้เต็ม ....
ผมรู้ว่ามันเพิ่งผ่านไปได้แค่ปีเดียว....แต่ผมไม่อยากให้คุณตกอยู่ในความเศร้า
ผมอยากให้คุณมีความสุข ....แม้กระทั่งเวลาที่คุณหลั่งน้ำตา....
และนี่คือเหตุผลว่า..ทำไมผมจะยังคงส่งดอกไม้ให้คุณ ต่อจากนี้อีกหลายปี
เมื่อคุณได้รับดอกกุหลาบ ....... ผมอยากให้คุณนึกถึงความสุข......
ตลอดระยะเวลาที่เราได้รักกัน ผมรักคุณเสมอ และรู้ว่ามันจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป
แต่ที่รัก ...คุณต้องต่อสู้ต่อไป ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป
ได้โปรดมองหาความสุข
ตลอดวันเวลาที่คุณยังมีชีวิตอยู่ ผมรู้ว่ามันไม่ง่าย …..
หากหวังว่าคุณคงไปถึงมันได้สักวัน กุหลาบจะส่งถึงคุณทุกปี และจะหยุดส่ง
ก็ต่อเมื่อ..คนที่มาส่งดอกไม้เคาะประตูแล้ว ไม่มีใครมาเปิดรับ …..
เขาจะมาส่งห้าครั้งในวันนั้น เผื่อว่าคุณจะออกไปธุระข้างนอก
หากครบห้าครั้งแล้ว ยังมอบดอกกุกลาบให้คุณไม่ได้
เขาจะรู้เองว่าต้องนำดอกไม้ ไปยังสถานที่ที่ผมสั่งเอาไว้
ดอกกุหลาบจะวางลง ...............บนที่ที่เราจะได้อยู่ร่วมกันอีกครั้ง....ชั่วนิรันดร์" ............
อยากบอกว่า.... ให้คุณลองมองย้อนกลับไปใส่ใจกับความรักมากขึ้น และนึกดูนะว่า
มีอะไรที่อยากทำแต่ยังไม่ได้ทำ กับใครคนนั้นที่มีความสำคัญกับชีวิตคุณ
จงรีบทำมันซะ แม้ว่าผลที่ตอบกลับมา อาจจะไม่ใช่คำตอบอย่างที่คุณต้องการ
แม้ว่าเค้าอาจจะไม่ได้รับรักคุณ แต่อย่างน้อย คุณก็ได้ทำในสิ่งที่ใจคุณปรารถนาแล้ว
เค้าคนนั้นก็ได้รับรู้ความรู้สึกในใจคุณแล้ว .....เท่านี้ก็เกินพอ
.........ดีกว่ารอวันที่เค้าจากไปอย่างชั่วนิรันดร์ แล้วมานั่งเสียดาย ว่าทำไมตอนนั้น ถึงไม่กล้านะ.....
"แม้โชคชะตา ไม่ได้กำหนดมาให้เราได้เป็นคู่กัน แต่อย่างน้อยเค้าก็กำหนดให้เราได้รู้จักกันแล้วนะ"
-- ความรักไม่มีคำว่าบังเอิญหรอก มีแต่คำว่า ตั้งใจ --
ถึง....ทุกคนที่กำลัง มีความรัก
ทำ
poate
เคยมีใครถามคุณไหมว่า "ความรักคืออะไร?" ผมคิดว่าวันนี้ผมมีคำตอบ
ให้คุณแล้วล่ะ คำที่ใช้แทนคำว่า "ความรัก" ได้ดีที่สุด น่าจะเป็นคำว่า"ใส่ใจ"
หากคุณคิดที่จะบอกรัก หรือรู้สึกว่าตัวเองเริ่มที่จะรักใครซักคน ลองถาม
ตัวเองดูว่า คุณใส่ใจเค้ามากน้อยแค่ไหน?
ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความเอาใจ หากคนรักของคุณจำได้ขึ้นใจว่า คุณเคยพูดว่าอยากได้อะไร แล้วเค้า
หาซื้อของชิ้นนั้นให้ ไม่ใช่สักแต่ว่าซื้อซื้อซื้อของเยอะแยะมากมาย เพื่อเอาใจ...นั่นแหละถึงเรียกว่า
ความใส่ใจ
ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความหึงหวง หากคนรักของคุณโทรหาคุณทุกคืนถามว่ากลับถึงบ้านหรือยัง
เพียงเพราะเค้าเป็นห่วง ไม่ต้องการให้คุณได้รับอันตรายในยามดึก ไม่ใช่กลัวว่าคุณจะไปกับคนอื่น...
นั่นแหละเรียกว่าความใส่ใจ
ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความมีน้ำใจอย่างเดียว หากแต่มีความถนอมน้ำใจด้วย
หากคนรักของคุณทำอะไรเพื่อคุณซักอย่างด้วยความตั้งใจ แต่คุณกลับไม่ชอบมัน คิดไตร่ตรองให้
ดีก่อนที่จะพูดอะไรออกไป ใส่ใจในความรู้สึกของเค้าด้วย
หากคุณทะเลาะกับคนรัก แต่แล้ววันรุ่งขึ้น คนรักของคุณยังโทรมาแสดงความเป็นห่วงในเรื่องต่างๆ
เหมือนทุกๆวัน ทั้งๆที่ยังไม่หายโกรธ...นั่นแหละเรียกว่าความใส่ใจ
หากคนรักของคุณยอมสละเวลาทำบางสิ่ง เอาไว้ทีหลัง เพียงเพื่อช่วยทำในสิ่งที่คุณขอ...นั่นแหละ
เรียกว่า ความใส่ใจ
คนเราบางครั้งก็ต้องการมีใครซักคนคอยใส่ใจเราบ้าง หากคุณต้องเดินทางไกล มันจะรู้สึกดีเอา
มากๆ ถ้าคนรักของคุณโทรมาถามว่า
"ถึงหรือยัง"
"ปลอดภัยดีไหม"
"เหนื่อยไหม"
หากคุณต้องปฏิบัติภาระกิจสำคัญไม่ว่าจะเรื่องงาน หรือเรื่องเรียน มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรัก
ของคุณจำได้ และโทรมาบอกว่า "โชคดีนะ" "ชั้นจะคอยเป็นกำลังใจให้"
หากคุณต้องขับรถคนเดียว มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณโทรมาบอกว่า
"ขับรถดีๆนะ"
หากคุณป่วยเป็นไข้ ไม่สบาย มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณโทรมาเตือนให้คุณกินยา และพักผ่อนมากๆ
ความใส่ใจ กับ ความเกรงใจ คล้ายกันในหลายๆด้าน คุณอาจคิดว่า ยิ่งคบกันสนิทสนมกันมากเท่า
ไหร่ ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันให้มากเหมือนคนที่เพิ่งเริ่มรู้จักกัน
แต่ดิฉันกลับไม่คิดอย่างนั้น ยิ่งสนิทกันมากเท่าไหร่ ต้องยิ่งเกรงใจซึ่งกันและกัน ความเกรงใจเป็น
สิ่งดี และเป็นบ่อเกิดของความสัมพันธ์อันยั่งยืน
คุณเห็นไหมล่ะว่า ไม่ยากเลยที่จะแสดงความใส่ใจต่อใครซักคน
เพียงแต่วันนี้
คุณใส่ใจคนรักของคุณแล้วหรือยัง?????
เคยมีใครถามคุณไหมว่า "ความรักคืออะไร?" ผมคิดว่าวันนี้ผมมีคำตอบ
ให้คุณแล้วล่ะ คำที่ใช้แทนคำว่า "ความรัก" ได้ดีที่สุด น่าจะเป็นคำว่า"ใส่ใจ"
หากคุณคิดที่จะบอกรัก หรือรู้สึกว่าตัวเองเริ่มที่จะรักใครซักคน ลองถาม
ตัวเองดูว่า คุณใส่ใจเค้ามากน้อยแค่ไหน?
ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความเอาใจ หากคนรักของคุณจำได้ขึ้นใจว่า คุณเคยพูดว่าอยากได้อะไร แล้วเค้า
หาซื้อของชิ้นนั้นให้ ไม่ใช่สักแต่ว่าซื้อซื้อซื้อของเยอะแยะมากมาย เพื่อเอาใจ...นั่นแหละถึงเรียกว่า
ความใส่ใจ
ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความหึงหวง หากคนรักของคุณโทรหาคุณทุกคืนถามว่ากลับถึงบ้านหรือยัง
เพียงเพราะเค้าเป็นห่วง ไม่ต้องการให้คุณได้รับอันตรายในยามดึก ไม่ใช่กลัวว่าคุณจะไปกับคนอื่น...
นั่นแหละเรียกว่าความใส่ใจ
ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความมีน้ำใจอย่างเดียว หากแต่มีความถนอมน้ำใจด้วย
หากคนรักของคุณทำอะไรเพื่อคุณซักอย่างด้วยความตั้งใจ แต่คุณกลับไม่ชอบมัน คิดไตร่ตรองให้
ดีก่อนที่จะพูดอะไรออกไป ใส่ใจในความรู้สึกของเค้าด้วย
หากคุณทะเลาะกับคนรัก แต่แล้ววันรุ่งขึ้น คนรักของคุณยังโทรมาแสดงความเป็นห่วงในเรื่องต่างๆ
เหมือนทุกๆวัน ทั้งๆที่ยังไม่หายโกรธ...นั่นแหละเรียกว่าความใส่ใจ
หากคนรักของคุณยอมสละเวลาทำบางสิ่ง เอาไว้ทีหลัง เพียงเพื่อช่วยทำในสิ่งที่คุณขอ...นั่นแหละ
เรียกว่า ความใส่ใจ
คนเราบางครั้งก็ต้องการมีใครซักคนคอยใส่ใจเราบ้าง หากคุณต้องเดินทางไกล มันจะรู้สึกดีเอา
มากๆ ถ้าคนรักของคุณโทรมาถามว่า
"ถึงหรือยัง"
"ปลอดภัยดีไหม"
"เหนื่อยไหม"
หากคุณต้องปฏิบัติภาระกิจสำคัญไม่ว่าจะเรื่องงาน หรือเรื่องเรียน มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรัก
ของคุณจำได้ และโทรมาบอกว่า "โชคดีนะ" "ชั้นจะคอยเป็นกำลังใจให้"
หากคุณต้องขับรถคนเดียว มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณโทรมาบอกว่า
"ขับรถดีๆนะ"
หากคุณป่วยเป็นไข้ ไม่สบาย มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณโทรมาเตือนให้คุณกินยา และพักผ่อนมากๆ
ความใส่ใจ กับ ความเกรงใจ คล้ายกันในหลายๆด้าน คุณอาจคิดว่า ยิ่งคบกันสนิทสนมกันมากเท่า
ไหร่ ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันให้มากเหมือนคนที่เพิ่งเริ่มรู้จักกัน
แต่ดิฉันกลับไม่คิดอย่างนั้น ยิ่งสนิทกันมากเท่าไหร่ ต้องยิ่งเกรงใจซึ่งกันและกัน ความเกรงใจเป็น
สิ่งดี และเป็นบ่อเกิดของความสัมพันธ์อันยั่งยืน
คุณเห็นไหมล่ะว่า ไม่ยากเลยที่จะแสดงความใส่ใจต่อใครซักคน
เพียงแต่วันนี้
คุณใส่ใจคนรักของคุณแล้วหรือยัง?????
30 ข้อคิดในชีวิต
ส่งมาโดย....เรืองรัตน์
1. อย่าทำลายความหวังของใคร เพราะเขาอาจเหลืออยู่แค่นั้น
2. เมื่อมีคนเล่าว่า เขามีส่วนในเหตุการณ์สำคัญอะไรก็ตาม เราไม่ต้องไปคุยทับ ปล่อยเขาฟุ้งไปตามสบาย
3. รู้จักฟังให้ดี โอกาสทองบางทีมันก็มาถึงแบบแว่วๆเหมือนกัน
4.หยุดอ่านคำอธิบายสถานที่ทางประวัติศาสตร์ซึ่งอยู่ตามริมทางเสียบ้าง
5. จะคิดการใด จงคิดการให้ใหญ่ๆ เข้าไว้ แต่เติมความสุข สนุกสนานลงไปด้วยเล็กน้อย
6. หัดทำสิ่งดีๆ ให้คนอื่นจนเป็นนิสัย โดยไม่จำเป็นต้องให้เขารู้
7. จำไว้ว่าข่าวทุกชนิดล้วนถูกบิดเบือนมาแล้วทั้งนั้น
8. เวลาเล่นเกมกับเด็กๆ ก็ปล่อยให้แกชนะไปเถอะ
9. ใครจะวิจารณ์เรายังไงก็ช่าง ไม่ต้องไปเสียเวลาตอบโต้
10. ให้โอกาสผู้อื่นเป็นครั้งที่ “สอง” แต่อย่าให้ถึง “สาม”
11. อย่าวิจารณ์นายจ้าง ถ้าทำงานกับเขาแล้วไม่มีความสุข ก็ลาออกซะ
12. ทำตัวให้สบาย อย่าคิดมาก ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้ว อะไรๆ มันก็ไม่สำคัญอย่างที่คิดไว้ทีแรกหรอก
13. ใช้เวลาน้อยๆในการคิดว่า “ใคร” เป็นคนถูก แต่ใช้เวลาให้มากในการคิดว่า “อะไร” คือสิ่งที่ถูก
14. เราไม่ได้ต่อสู้กับ “คนโหดร้าย” แต่เราต่อสู้กับ “ความโหดร้าย” ในตัวคน
15. คิดให้รอบคอบก่อนจะให้เพื่อนต้องมีภาระในการรักษาความลับ
16. เมื่อมีใครสวมกอดคุณ ให้เขาเป็นฝ่ายปล่อยก่อน
17. ยอมที่จะแพ้ในสงครามย่อยๆ เมื่อการแพ้นั้นจะทำให้เราชนะสงครามใหญ่
18. เป็นคนถ่อมตน ...คนเขาทำอะไรต่ออะไรสำเร็จกันมามากมายแล้วตั้งแต่เรายังไม่เกิด
19. ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้ายเพียงใด ...สุขุมเยือกเย็นเข้าไว้
20. อย่าไปหวังเลยว่าชีวิตนี้จะมีความยุติธรรม
21. อย่าให้ปัญหาของเราทำให้คนอื่นเขาเบื่อหน่าย ถ้ามีใครมาถามเราว่า “เป็นอย่างไรบ้างตอนนี้”
ก็ตอบเขาไปเลยว่า “สบายมาก”
22. อย่าพูดว่ามีเวลาไม่พอ เพราะเวลาที่คุณมีมันก็วันละ 24 ชั่วโมง เท่าๆ กับ หลุยส์ ปาสเตอร์,
ไมเคิลแอนเจลโล, แม่ชีเทเรซา, ลีโอนาร์โด ดา วินซี, ทอมัส เจฟเฟอร์สัน หรือ อัลเบิร์ต ไอสไตน์ ที่เขามีนั่นเอง
23. เป็นคนใจกล้าและเด็ดเดี่ยว เมื่อเหลียวกลับไปดูอดีต เราจะเสียใจในสิ่งที่อยากทำแล้วไม่ได้ทำ
มากกว่าเสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้ว
24. ประเมินตนเองด้วยมาตราฐานของตัวเอง ไม่ใช่ด้วยมาตราฐานของคนอื่น
25. จริงจังและเคี่ยวเข็ญตนเอง แต่อ่อนโยนและผ่อนปรนต่อผู้อื่น
26. อย่าระดมสมอง เพราะไอเดียดีๆ ใหม่ๆ และยิ่งใหญ่จนสามารถเปลียนแปลงโลกได้ ล้วนมาจากบุคคล
ที่คิดค้นอยู่แต่เพียงผู้เดียวทั้งสิ้น
27. คงไว้ซึ่งความเป็นคนเปิดเผย อ่อนโยน และอยากรู้อยากเห็น (มิใช่สอดรู้สอดเห็น)
28. ให้ความนับถือแก่ทุกคนที่ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ ไม่ว่างานนั้นจะกระจอกงอกง่อยสักปานใด
29. คำนึงถึงการมีชีวิตให้ “กว้างขวาง” มากกว่าการมีชีวิตให้ “ยืนยาว”
30. มีมารยาทและอดทนกับคนที่สูงวัยกว่าเสมอ
1. อย่าทำลายความหวังของใคร เพราะเขาอาจเหลืออยู่แค่นั้น
2. เมื่อมีคนเล่าว่า เขามีส่วนในเหตุการณ์สำคัญอะไรก็ตาม เราไม่ต้องไปคุยทับ ปล่อยเขาฟุ้งไปตามสบาย
3. รู้จักฟังให้ดี โอกาสทองบางทีมันก็มาถึงแบบแว่วๆเหมือนกัน
4.หยุดอ่านคำอธิบายสถานที่ทางประวัติศาสตร์ซึ่งอยู่ตามริมทางเสียบ้าง
5. จะคิดการใด จงคิดการให้ใหญ่ๆ เข้าไว้ แต่เติมความสุข สนุกสนานลงไปด้วยเล็กน้อย
6. หัดทำสิ่งดีๆ ให้คนอื่นจนเป็นนิสัย โดยไม่จำเป็นต้องให้เขารู้
7. จำไว้ว่าข่าวทุกชนิดล้วนถูกบิดเบือนมาแล้วทั้งนั้น
8. เวลาเล่นเกมกับเด็กๆ ก็ปล่อยให้แกชนะไปเถอะ
9. ใครจะวิจารณ์เรายังไงก็ช่าง ไม่ต้องไปเสียเวลาตอบโต้
10. ให้โอกาสผู้อื่นเป็นครั้งที่ “สอง” แต่อย่าให้ถึง “สาม”
11. อย่าวิจารณ์นายจ้าง ถ้าทำงานกับเขาแล้วไม่มีความสุข ก็ลาออกซะ
12. ทำตัวให้สบาย อย่าคิดมาก ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้ว อะไรๆ มันก็ไม่สำคัญอย่างที่คิดไว้ทีแรกหรอก
13. ใช้เวลาน้อยๆในการคิดว่า “ใคร” เป็นคนถูก แต่ใช้เวลาให้มากในการคิดว่า “อะไร” คือสิ่งที่ถูก
14. เราไม่ได้ต่อสู้กับ “คนโหดร้าย” แต่เราต่อสู้กับ “ความโหดร้าย” ในตัวคน
15. คิดให้รอบคอบก่อนจะให้เพื่อนต้องมีภาระในการรักษาความลับ
16. เมื่อมีใครสวมกอดคุณ ให้เขาเป็นฝ่ายปล่อยก่อน
17. ยอมที่จะแพ้ในสงครามย่อยๆ เมื่อการแพ้นั้นจะทำให้เราชนะสงครามใหญ่
18. เป็นคนถ่อมตน ...คนเขาทำอะไรต่ออะไรสำเร็จกันมามากมายแล้วตั้งแต่เรายังไม่เกิด
19. ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้ายเพียงใด ...สุขุมเยือกเย็นเข้าไว้
20. อย่าไปหวังเลยว่าชีวิตนี้จะมีความยุติธรรม
21. อย่าให้ปัญหาของเราทำให้คนอื่นเขาเบื่อหน่าย ถ้ามีใครมาถามเราว่า “เป็นอย่างไรบ้างตอนนี้”
ก็ตอบเขาไปเลยว่า “สบายมาก”
22. อย่าพูดว่ามีเวลาไม่พอ เพราะเวลาที่คุณมีมันก็วันละ 24 ชั่วโมง เท่าๆ กับ หลุยส์ ปาสเตอร์,
ไมเคิลแอนเจลโล, แม่ชีเทเรซา, ลีโอนาร์โด ดา วินซี, ทอมัส เจฟเฟอร์สัน หรือ อัลเบิร์ต ไอสไตน์ ที่เขามีนั่นเอง
23. เป็นคนใจกล้าและเด็ดเดี่ยว เมื่อเหลียวกลับไปดูอดีต เราจะเสียใจในสิ่งที่อยากทำแล้วไม่ได้ทำ
มากกว่าเสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้ว
24. ประเมินตนเองด้วยมาตราฐานของตัวเอง ไม่ใช่ด้วยมาตราฐานของคนอื่น
25. จริงจังและเคี่ยวเข็ญตนเอง แต่อ่อนโยนและผ่อนปรนต่อผู้อื่น
26. อย่าระดมสมอง เพราะไอเดียดีๆ ใหม่ๆ และยิ่งใหญ่จนสามารถเปลียนแปลงโลกได้ ล้วนมาจากบุคคล
ที่คิดค้นอยู่แต่เพียงผู้เดียวทั้งสิ้น
27. คงไว้ซึ่งความเป็นคนเปิดเผย อ่อนโยน และอยากรู้อยากเห็น (มิใช่สอดรู้สอดเห็น)
28. ให้ความนับถือแก่ทุกคนที่ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ ไม่ว่างานนั้นจะกระจอกงอกง่อยสักปานใด
29. คำนึงถึงการมีชีวิตให้ “กว้างขวาง” มากกว่าการมีชีวิตให้ “ยืนยาว”
30. มีมารยาทและอดทนกับคนที่สูงวัยกว่าเสมอ
ป้ายกำกับ:
Stories reminder
30 ข้อคิดในชีวิต
ส่งมาโดย....เรืองรัตน์
1. อย่าทำลายความหวังของใคร เพราะเขาอาจเหลืออยู่แค่นั้น
2. เมื่อมีคนเล่าว่า เขามีส่วนในเหตุการณ์สำคัญอะไรก็ตาม เราไม่ต้องไปคุยทับ ปล่อยเขาฟุ้งไปตามสบาย
3. รู้จักฟังให้ดี โอกาสทองบางทีมันก็มาถึงแบบแว่วๆเหมือนกัน
4.หยุดอ่านคำอธิบายสถานที่ทางประวัติศาสตร์ซึ่งอยู่ตามริมทางเสียบ้าง
5. จะคิดการใด จงคิดการให้ใหญ่ๆ เข้าไว้ แต่เติมความสุข สนุกสนานลงไปด้วยเล็กน้อย
6. หัดทำสิ่งดีๆ ให้คนอื่นจนเป็นนิสัย โดยไม่จำเป็นต้องให้เขารู้
7. จำไว้ว่าข่าวทุกชนิดล้วนถูกบิดเบือนมาแล้วทั้งนั้น
8. เวลาเล่นเกมกับเด็กๆ ก็ปล่อยให้แกชนะไปเถอะ
9. ใครจะวิจารณ์เรายังไงก็ช่าง ไม่ต้องไปเสียเวลาตอบโต้
10. ให้โอกาสผู้อื่นเป็นครั้งที่ “สอง” แต่อย่าให้ถึง “สาม”
11. อย่าวิจารณ์นายจ้าง ถ้าทำงานกับเขาแล้วไม่มีความสุข ก็ลาออกซะ
12. ทำตัวให้สบาย อย่าคิดมาก ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้ว อะไรๆ มันก็ไม่สำคัญอย่างที่คิดไว้ทีแรกหรอก
13. ใช้เวลาน้อยๆในการคิดว่า “ใคร” เป็นคนถูก แต่ใช้เวลาให้มากในการคิดว่า “อะไร” คือสิ่งที่ถูก
14. เราไม่ได้ต่อสู้กับ “คนโหดร้าย” แต่เราต่อสู้กับ “ความโหดร้าย” ในตัวคน
15. คิดให้รอบคอบก่อนจะให้เพื่อนต้องมีภาระในการรักษาความลับ
16. เมื่อมีใครสวมกอดคุณ ให้เขาเป็นฝ่ายปล่อยก่อน
17. ยอมที่จะแพ้ในสงครามย่อยๆ เมื่อการแพ้นั้นจะทำให้เราชนะสงครามใหญ่
18. เป็นคนถ่อมตน ...คนเขาทำอะไรต่ออะไรสำเร็จกันมามากมายแล้วตั้งแต่เรายังไม่เกิด
19. ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้ายเพียงใด ...สุขุมเยือกเย็นเข้าไว้
20. อย่าไปหวังเลยว่าชีวิตนี้จะมีความยุติธรรม
21. อย่าให้ปัญหาของเราทำให้คนอื่นเขาเบื่อหน่าย ถ้ามีใครมาถามเราว่า “เป็นอย่างไรบ้างตอนนี้”
ก็ตอบเขาไปเลยว่า “สบายมาก”
22. อย่าพูดว่ามีเวลาไม่พอ เพราะเวลาที่คุณมีมันก็วันละ 24 ชั่วโมง เท่าๆ กับ หลุยส์ ปาสเตอร์,
ไมเคิลแอนเจลโล, แม่ชีเทเรซา, ลีโอนาร์โด ดา วินซี, ทอมัส เจฟเฟอร์สัน หรือ อัลเบิร์ต ไอสไตน์ ที่เขามีนั่นเอง
23. เป็นคนใจกล้าและเด็ดเดี่ยว เมื่อเหลียวกลับไปดูอดีต เราจะเสียใจในสิ่งที่อยากทำแล้วไม่ได้ทำ
มากกว่าเสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้ว
24. ประเมินตนเองด้วยมาตราฐานของตัวเอง ไม่ใช่ด้วยมาตราฐานของคนอื่น
25. จริงจังและเคี่ยวเข็ญตนเอง แต่อ่อนโยนและผ่อนปรนต่อผู้อื่น
26. อย่าระดมสมอง เพราะไอเดียดีๆ ใหม่ๆ และยิ่งใหญ่จนสามารถเปลียนแปลงโลกได้ ล้วนมาจากบุคคล
ที่คิดค้นอยู่แต่เพียงผู้เดียวทั้งสิ้น
27. คงไว้ซึ่งความเป็นคนเปิดเผย อ่อนโยน และอยากรู้อยากเห็น (มิใช่สอดรู้สอดเห็น)
28. ให้ความนับถือแก่ทุกคนที่ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ ไม่ว่างานนั้นจะกระจอกงอกง่อยสักปานใด
29. คำนึงถึงการมีชีวิตให้ “กว้างขวาง” มากกว่าการมีชีวิตให้ “ยืนยาว”
30. มีมารยาทและอดทนกับคนที่สูงวัยกว่าเสมอ
1. อย่าทำลายความหวังของใคร เพราะเขาอาจเหลืออยู่แค่นั้น
2. เมื่อมีคนเล่าว่า เขามีส่วนในเหตุการณ์สำคัญอะไรก็ตาม เราไม่ต้องไปคุยทับ ปล่อยเขาฟุ้งไปตามสบาย
3. รู้จักฟังให้ดี โอกาสทองบางทีมันก็มาถึงแบบแว่วๆเหมือนกัน
4.หยุดอ่านคำอธิบายสถานที่ทางประวัติศาสตร์ซึ่งอยู่ตามริมทางเสียบ้าง
5. จะคิดการใด จงคิดการให้ใหญ่ๆ เข้าไว้ แต่เติมความสุข สนุกสนานลงไปด้วยเล็กน้อย
6. หัดทำสิ่งดีๆ ให้คนอื่นจนเป็นนิสัย โดยไม่จำเป็นต้องให้เขารู้
7. จำไว้ว่าข่าวทุกชนิดล้วนถูกบิดเบือนมาแล้วทั้งนั้น
8. เวลาเล่นเกมกับเด็กๆ ก็ปล่อยให้แกชนะไปเถอะ
9. ใครจะวิจารณ์เรายังไงก็ช่าง ไม่ต้องไปเสียเวลาตอบโต้
10. ให้โอกาสผู้อื่นเป็นครั้งที่ “สอง” แต่อย่าให้ถึง “สาม”
11. อย่าวิจารณ์นายจ้าง ถ้าทำงานกับเขาแล้วไม่มีความสุข ก็ลาออกซะ
12. ทำตัวให้สบาย อย่าคิดมาก ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้ว อะไรๆ มันก็ไม่สำคัญอย่างที่คิดไว้ทีแรกหรอก
13. ใช้เวลาน้อยๆในการคิดว่า “ใคร” เป็นคนถูก แต่ใช้เวลาให้มากในการคิดว่า “อะไร” คือสิ่งที่ถูก
14. เราไม่ได้ต่อสู้กับ “คนโหดร้าย” แต่เราต่อสู้กับ “ความโหดร้าย” ในตัวคน
15. คิดให้รอบคอบก่อนจะให้เพื่อนต้องมีภาระในการรักษาความลับ
16. เมื่อมีใครสวมกอดคุณ ให้เขาเป็นฝ่ายปล่อยก่อน
17. ยอมที่จะแพ้ในสงครามย่อยๆ เมื่อการแพ้นั้นจะทำให้เราชนะสงครามใหญ่
18. เป็นคนถ่อมตน ...คนเขาทำอะไรต่ออะไรสำเร็จกันมามากมายแล้วตั้งแต่เรายังไม่เกิด
19. ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้ายเพียงใด ...สุขุมเยือกเย็นเข้าไว้
20. อย่าไปหวังเลยว่าชีวิตนี้จะมีความยุติธรรม
21. อย่าให้ปัญหาของเราทำให้คนอื่นเขาเบื่อหน่าย ถ้ามีใครมาถามเราว่า “เป็นอย่างไรบ้างตอนนี้”
ก็ตอบเขาไปเลยว่า “สบายมาก”
22. อย่าพูดว่ามีเวลาไม่พอ เพราะเวลาที่คุณมีมันก็วันละ 24 ชั่วโมง เท่าๆ กับ หลุยส์ ปาสเตอร์,
ไมเคิลแอนเจลโล, แม่ชีเทเรซา, ลีโอนาร์โด ดา วินซี, ทอมัส เจฟเฟอร์สัน หรือ อัลเบิร์ต ไอสไตน์ ที่เขามีนั่นเอง
23. เป็นคนใจกล้าและเด็ดเดี่ยว เมื่อเหลียวกลับไปดูอดีต เราจะเสียใจในสิ่งที่อยากทำแล้วไม่ได้ทำ
มากกว่าเสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้ว
24. ประเมินตนเองด้วยมาตราฐานของตัวเอง ไม่ใช่ด้วยมาตราฐานของคนอื่น
25. จริงจังและเคี่ยวเข็ญตนเอง แต่อ่อนโยนและผ่อนปรนต่อผู้อื่น
26. อย่าระดมสมอง เพราะไอเดียดีๆ ใหม่ๆ และยิ่งใหญ่จนสามารถเปลียนแปลงโลกได้ ล้วนมาจากบุคคล
ที่คิดค้นอยู่แต่เพียงผู้เดียวทั้งสิ้น
27. คงไว้ซึ่งความเป็นคนเปิดเผย อ่อนโยน และอยากรู้อยากเห็น (มิใช่สอดรู้สอดเห็น)
28. ให้ความนับถือแก่ทุกคนที่ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ ไม่ว่างานนั้นจะกระจอกงอกง่อยสักปานใด
29. คำนึงถึงการมีชีวิตให้ “กว้างขวาง” มากกว่าการมีชีวิตให้ “ยืนยาว”
30. มีมารยาทและอดทนกับคนที่สูงวัยกว่าเสมอ
ป้ายกำกับ:
Stories reminder
แก่ขึ้น หรือ เติบโต
ส่งมาโดย....poate
วันแรกที่พวกเราเริ่มการเรียนในมหาวิทยาลัยนั้น อาจารย์ของเราได้เข้ามาแนะนำตัว
และบอกให้พวกเราทำความรู้จักกับคนอื่นๆ ที่เราไม่รู้จักมาก่อน ผมยืนขึ้นแล้วมองไปรอบๆ และมีมือๆ
หนึ่งเอื้อมมาจับบ่าของผม ผมหันไปพบกับหญิงชราร่างเล็ก ผิวหนังเหี่ยวย่นที่ส่งรอยยิ้มอันเป็นประกายมาให้ผม
รอยยิ้มนั้นทำให้เธอดูสดใสอย่างยิ่ง
หญิงชราคนนั้นกล่าวขึ้นว่า > “> สวัสดี รูปหล่อ ฉันชื่อโรส
อายุแปดสิบเจ็ดแล้ว มาให้ฉันกอดสักทีสิ> ”>
ผมหัวเราะกับท่าทางของเธอ และตอบอย่างร่าเริงว่า > “> แน่นอน
ได้สิครับ> ”> แล้วเธอก็กอดผมอย่างแรง ผมถามเธอว่า
ทำไมคุณถึงมาเรียนมหาวิทยาลัยเอาตอนที่อายุน้อย
และไร้เดียวสาอย่างนี้ละ..> ”> เธอตอบด้วยเสียงปนหัวเราะว่า
“> ฉันมาหาสามีรวยๆ ที่ฉันจะได้แต่งงานด้วย
แล้วมีลูกสักสองสามคน...> ”> ผมขัดจังหวะเธอ โดยถามว่า
“> ไม่เอาครับ.. ถามจริงๆ> ”> ผมสงสัยจริงๆ
ว่าอะไรทำให้เธอมาเรียนที่นี่ตอนที่อายุขนาดนี้
และเธอตอบว่า > “> ฉันฝันมานานแล้ว ว่าฉันจะได้ปริญญา
และตอนนี้ ฉันก็กำลังจะได้ปริญญาที่ฉันฝัน> ”>
หลังเลิกเรียนวิชานั้น เราเดินไปที่อาคารสโมสรนักศึกษาด้วยกัน
และนั่งกินชอคโกแลตปั่นด้วยกัน เรากลายเป็นเพื่อนกันในทันที
ตลอดสามเดือนหลังจากนั้นเราจะออกจากชั้นเรียนพร้อมกันและจะไปนั่งคุยกันไม่หยุด
ผมนั้นประหลาดใจเสมอเมื่อได้ฟัง > “> ยานเวลา> ”>
ลำนี้แบ่งปันความรู้ และประสบการณ์ของเธอให้กับผม
ตลอดปีนั้น โรสได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยของเรา
และเธอนั้นจะเป็นเพื่อนได้กับทุกคน ในทุกที่ที่เธอไป
เธอรักที่จะแต่งตัวดีๆ
และดื่มด่ำอยู่กับความสนใจที่นักศึกษาคนอื่นๆ
มีให้กับเธอ เธอได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่
เมื่อถึงตอนสิ้นสุดภาคการศึกษา เราได้เชิญโรสให้มาพูดที่งานเลี้ยงของทีมฟุตบอลของเรา
ผมไม่เคยลืมเลย ว่าเธอได้สอนอะไรให้กับเรา พิธีกรแนะนำตัวเธอ และเธอก็เดินขึ้นมาที่แท่น
ตอนที่เธอกำลังเตรียมตัวที่จะพูดตามที่เธอตั้งใจนั้น เธอทำการ์ดที่บันทึกเรื่องที่เธอจะพูดตกพื้น
เธอทั้งอาย ทั้งประหม่า
แต่เธอโน้มตัวเข้าหาไมโครโฟนแล้วบอกว่า > “> ขอโทษด้วยนะ
ที่ฉันซุ่มซ่าม ฉันเลิกกินเบียร์มาตั้งนานแล้ว
แต่วิสกี้พวกนี้มันแรงจริงๆ..ฉันคงจะเอาบทของฉันมาเรียงใหม่ไม่ทันแล้ว
งั้นฉันก็คงได้แค่บอกเรื่องที่ฉันรู้ให้กับพวกคุณก็แล้วกัน> ”>
พวกเราทุกคนหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง
ตอนที่เธอเริ่มต้นว่า > “> พวกเราทุกคนนั้น ไม่ได้หยุดเล่น
เพราะเราแก่หรอก แต่เราแก่เพราะว่าเราหยุดเล่น
ที่จริงแล้ว มีเคล็ดลับสู่การที่จะยังหนุ่มสาวอยู่เสมอ
มีความสุข และประสบความสำเร็จอยู่ 4 ประการ
1) พวกคุณจะต้องหัวเราะ และมีเรื่องสนุกๆ ขำขันทุกวัน
2) พวกคุณจะต้องมีความฝัน
เมื่อไรก็ตามที่คุณสูญเสียความฝันของคุณไปคุณจะตาย
มีคนมากมายที่ยังเดินไปเดินมาอยู่ทั้งๆ ที่ตายไปแล้ว
และไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตายไปแล้ว..
3) การที่คุณ > “> แก่ขึ้น> ”> กับ > “> เติบโตขึ้น> ”>
นั้นมันต่างกันมาก ถ้าคุณอายุสิบเก้า
แล้วนอนอยู่บนเตียงเฉยๆ ปีหนึ่ง
และไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ตลอดทั้งปี
คุณก็จะอายุยี่สิบ ถ้าฉันอายุแปดสิบเจ็ด แล้วนอนเฉยๆ
ไม่ทำอะไรเลยตลอดทั้งปี ฉันก็จะอายุ แปดสิบแปด ทุกๆ
คนนั้นจะแก่ขึ้นทั้งนั้น
ไม่จำเป็นต้องอาศัยความสามารถอะไรเลย
ประเด็นของการ
“> เติบโตขึ้น> ”>
นั้นอยู่ที่การแสวงหาโอกาสในการเปลี่ยนแปลง
4) อย่าทิ้งอะไรไว้ให้เสียใจภายหลัง
คนสูงอายุส่วนใหญ่นั้น ไม่เสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไปแล้ว
แต่มักจะเสียใจกับสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ
คนที่กลัวความตายนั้น
มีแต่คนที่ยังมีสิ่งทีต้องเสียใจค้างอยู่
เธอจบการพูดของเธอด้วยการร้องเพลง > “> The Rose> ”>
อย่างกล้าหาญ
และเธอได้แนะให้พวกเราทุกคนศึกษาเนื้อร้องของเพลงนั้น
และเอาความหมายเหล่านั้นมาใช้กับชีวิตประจำวันของพวกเรา
เมื่อสิ้นปีการศึกษานั้น
โรสได้รับปริญญาที่เธอได้เริ่มฝันไว้เมื่อนานมาแล้ว
หนึ่งสัปดาห์หลังจบการศึกษา โรสจากไปอย่างสงบ
เธอนอนหลับไปและไม่ตื่นขึ้นอีกเลย
นักศีกษากว่าสองพันคนไปร่วมพิธีศพของเธอเพื่อแสดงความเคาพบต่อหญิงชราผู้วิเศษ
ผู้ได้สอนให้พวกเขาได้รู้ด้วยการทำให้เห็นเป็นตัวอย่างว่าไม่มีคำว่าสายเกินไป
ที่จะเป็นทุกสิ่งที่คุณสามารถเป็นได้
จงจำไว้ว่า การแก่ขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่การเติบโตขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่เราเลือกได้
เราอยู่ได้ด้วยสิ่งที่เราได้รับ แต่เราจะมีชีวิตอยู่เพราะสิ่งที่เราให้ไป
วันแรกที่พวกเราเริ่มการเรียนในมหาวิทยาลัยนั้น อาจารย์ของเราได้เข้ามาแนะนำตัว
และบอกให้พวกเราทำความรู้จักกับคนอื่นๆ ที่เราไม่รู้จักมาก่อน ผมยืนขึ้นแล้วมองไปรอบๆ และมีมือๆ
หนึ่งเอื้อมมาจับบ่าของผม ผมหันไปพบกับหญิงชราร่างเล็ก ผิวหนังเหี่ยวย่นที่ส่งรอยยิ้มอันเป็นประกายมาให้ผม
รอยยิ้มนั้นทำให้เธอดูสดใสอย่างยิ่ง
หญิงชราคนนั้นกล่าวขึ้นว่า > “> สวัสดี รูปหล่อ ฉันชื่อโรส
อายุแปดสิบเจ็ดแล้ว มาให้ฉันกอดสักทีสิ> ”>
ผมหัวเราะกับท่าทางของเธอ และตอบอย่างร่าเริงว่า > “> แน่นอน
ได้สิครับ> ”> แล้วเธอก็กอดผมอย่างแรง ผมถามเธอว่า
ทำไมคุณถึงมาเรียนมหาวิทยาลัยเอาตอนที่อายุน้อย
และไร้เดียวสาอย่างนี้ละ..> ”> เธอตอบด้วยเสียงปนหัวเราะว่า
“> ฉันมาหาสามีรวยๆ ที่ฉันจะได้แต่งงานด้วย
แล้วมีลูกสักสองสามคน...> ”> ผมขัดจังหวะเธอ โดยถามว่า
“> ไม่เอาครับ.. ถามจริงๆ> ”> ผมสงสัยจริงๆ
ว่าอะไรทำให้เธอมาเรียนที่นี่ตอนที่อายุขนาดนี้
และเธอตอบว่า > “> ฉันฝันมานานแล้ว ว่าฉันจะได้ปริญญา
และตอนนี้ ฉันก็กำลังจะได้ปริญญาที่ฉันฝัน> ”>
หลังเลิกเรียนวิชานั้น เราเดินไปที่อาคารสโมสรนักศึกษาด้วยกัน
และนั่งกินชอคโกแลตปั่นด้วยกัน เรากลายเป็นเพื่อนกันในทันที
ตลอดสามเดือนหลังจากนั้นเราจะออกจากชั้นเรียนพร้อมกันและจะไปนั่งคุยกันไม่หยุด
ผมนั้นประหลาดใจเสมอเมื่อได้ฟัง > “> ยานเวลา> ”>
ลำนี้แบ่งปันความรู้ และประสบการณ์ของเธอให้กับผม
ตลอดปีนั้น โรสได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยของเรา
และเธอนั้นจะเป็นเพื่อนได้กับทุกคน ในทุกที่ที่เธอไป
เธอรักที่จะแต่งตัวดีๆ
และดื่มด่ำอยู่กับความสนใจที่นักศึกษาคนอื่นๆ
มีให้กับเธอ เธอได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่
เมื่อถึงตอนสิ้นสุดภาคการศึกษา เราได้เชิญโรสให้มาพูดที่งานเลี้ยงของทีมฟุตบอลของเรา
ผมไม่เคยลืมเลย ว่าเธอได้สอนอะไรให้กับเรา พิธีกรแนะนำตัวเธอ และเธอก็เดินขึ้นมาที่แท่น
ตอนที่เธอกำลังเตรียมตัวที่จะพูดตามที่เธอตั้งใจนั้น เธอทำการ์ดที่บันทึกเรื่องที่เธอจะพูดตกพื้น
เธอทั้งอาย ทั้งประหม่า
แต่เธอโน้มตัวเข้าหาไมโครโฟนแล้วบอกว่า > “> ขอโทษด้วยนะ
ที่ฉันซุ่มซ่าม ฉันเลิกกินเบียร์มาตั้งนานแล้ว
แต่วิสกี้พวกนี้มันแรงจริงๆ..ฉันคงจะเอาบทของฉันมาเรียงใหม่ไม่ทันแล้ว
งั้นฉันก็คงได้แค่บอกเรื่องที่ฉันรู้ให้กับพวกคุณก็แล้วกัน> ”>
พวกเราทุกคนหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง
ตอนที่เธอเริ่มต้นว่า > “> พวกเราทุกคนนั้น ไม่ได้หยุดเล่น
เพราะเราแก่หรอก แต่เราแก่เพราะว่าเราหยุดเล่น
ที่จริงแล้ว มีเคล็ดลับสู่การที่จะยังหนุ่มสาวอยู่เสมอ
มีความสุข และประสบความสำเร็จอยู่ 4 ประการ
1) พวกคุณจะต้องหัวเราะ และมีเรื่องสนุกๆ ขำขันทุกวัน
2) พวกคุณจะต้องมีความฝัน
เมื่อไรก็ตามที่คุณสูญเสียความฝันของคุณไปคุณจะตาย
มีคนมากมายที่ยังเดินไปเดินมาอยู่ทั้งๆ ที่ตายไปแล้ว
และไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตายไปแล้ว..
3) การที่คุณ > “> แก่ขึ้น> ”> กับ > “> เติบโตขึ้น> ”>
นั้นมันต่างกันมาก ถ้าคุณอายุสิบเก้า
แล้วนอนอยู่บนเตียงเฉยๆ ปีหนึ่ง
และไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ตลอดทั้งปี
คุณก็จะอายุยี่สิบ ถ้าฉันอายุแปดสิบเจ็ด แล้วนอนเฉยๆ
ไม่ทำอะไรเลยตลอดทั้งปี ฉันก็จะอายุ แปดสิบแปด ทุกๆ
คนนั้นจะแก่ขึ้นทั้งนั้น
ไม่จำเป็นต้องอาศัยความสามารถอะไรเลย
ประเด็นของการ
“> เติบโตขึ้น> ”>
นั้นอยู่ที่การแสวงหาโอกาสในการเปลี่ยนแปลง
4) อย่าทิ้งอะไรไว้ให้เสียใจภายหลัง
คนสูงอายุส่วนใหญ่นั้น ไม่เสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไปแล้ว
แต่มักจะเสียใจกับสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ
คนที่กลัวความตายนั้น
มีแต่คนที่ยังมีสิ่งทีต้องเสียใจค้างอยู่
เธอจบการพูดของเธอด้วยการร้องเพลง > “> The Rose> ”>
อย่างกล้าหาญ
และเธอได้แนะให้พวกเราทุกคนศึกษาเนื้อร้องของเพลงนั้น
และเอาความหมายเหล่านั้นมาใช้กับชีวิตประจำวันของพวกเรา
เมื่อสิ้นปีการศึกษานั้น
โรสได้รับปริญญาที่เธอได้เริ่มฝันไว้เมื่อนานมาแล้ว
หนึ่งสัปดาห์หลังจบการศึกษา โรสจากไปอย่างสงบ
เธอนอนหลับไปและไม่ตื่นขึ้นอีกเลย
นักศีกษากว่าสองพันคนไปร่วมพิธีศพของเธอเพื่อแสดงความเคาพบต่อหญิงชราผู้วิเศษ
ผู้ได้สอนให้พวกเขาได้รู้ด้วยการทำให้เห็นเป็นตัวอย่างว่าไม่มีคำว่าสายเกินไป
ที่จะเป็นทุกสิ่งที่คุณสามารถเป็นได้
จงจำไว้ว่า การแก่ขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่การเติบโตขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่เราเลือกได้
เราอยู่ได้ด้วยสิ่งที่เราได้รับ แต่เราจะมีชีวิตอยู่เพราะสิ่งที่เราให้ไป
ป้ายกำกับ:
Stories reminder
she and he
อารมณ์ดีหรือไม่ดี ยังอยากไปเดินเที่ยวคือผู้หญิง ++ อากาศดีหรือไม่ดี
> >ไม่อยากไปเดินเที่ยวคือผู้ชาย
> >ถึงแม้จะมีลิปสติกร้อยแท่ง ยังอยากซื้อเพิ่มอีกแท่งคือผู้หญิง ++
> >ถึงแม้กางเกงในจะรูพรุนแล้ว รอให้
> >ภรรยาซื้อมาให้ถึงจะยอมเปลี่ยนคือผู้ชาย
> >เลือกที่จะไปซื้อตู้สวยๆ แพงยังไงก็ยอมคือผู้หญิง ++
เลือกที่จะทำตู้ไว้ใช้เอง
> >เหนื่อยยังไงก็ยอมคือผู้ชาย
> >ผู้หญิงจะคิดว่ามีรองเท้าไม่พออยู่เสมอ ++ ผู้ชายจะคิดว่ามีรถไม่พออยู่เสมอ
> >ผู้หญิงทำงานเลี้ยงเสื้อผ้า ++ ผู้ชายทำงานเลี้ยงหุ้น
> >นับวันยิ่งไม่พอใจครีมทาหน้าที่ใช้อยู่ นั่นคือผู้หญิงเริ่มแก่แล้ว ++
> >นับวันยิ่งไม่พอใจขนาดกางเกงที่ใส่อยู่
> >นั่นคือผู้ชายเริ่มแก่แล้ว
> >ผู้หญิงชื่นชอบผู้ชายที่ซื้อโคโลญน์ใช้ แต่ไม่อยากแต่งงานกับเขา ++
> >ผู้ชายชื่นชมผู้หญิงที่ชอบซื้อหนังสือ แต่ไม่อยากขื้นเตียงกับหล่อน
> >ผู้หญิงซื้อคอนดอมให้แฟน ++ ผู้ชายซื้อคอนดอมให้เพื่อน
> >ผู้หญิงจะจำได้ว่าเคยได้รับดอกไม้เมื่อไหร่ เพราะทั้งหมดคือแฟนซื้อให้ ++
> >ผู้ชายไม่เคยจำว่าเคยส่งดอกไม้อะไรให้ผู้หญิง
> เพราะทั้งหมดคือร้านดอกไม้เลือกให้
> >ผู้หญิงจะเลือกซื้อเสื้อผ้าที่ทำให้เธอดูสวยขึ้น ++
> >ผู้ชายจะเลือกซื้อเสื้อผ้าทำให้เขาดูไม่น่าเกลียด
> >ผู้หญิงใช้กระเป๋าหิ้วสีดำเพื่อให้เข้ากับชุดที่เธอใส่ ++
> >ผู้ชายใช้กระเป๋าสตางค์สีดำเพราะมันไม่สกปรกง่าย
> >ผู้หญิงชอบชุดชั้นในสีขาว แต่จะยอมใส่แบบเซ็กซี่เพื่อให้ผู้ชายชอบ ++
> >ผู้ชายชอบใส่กางเกงยีนส์ แต่ไม่ยอมใส่ชุดสูทเพื่อให้หน้าผู้หญิง
> >ผู้หญิงจะเปลี่ยนทรงผมหรือไม่ ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเธอ ++
> >ผู้ชายจะเปลี่ยนทรงผมหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความจู้จี้จุกจิกของผู้หญิง
> >ผู้หญิงยอมอดข้าวหนึ่งเดือน เพื่อให้ใส่กระโปรงสั้นตัวใหม่ได้ ++
> >ผู้ชายยอมซื้อกางเกงตัวใหม่ เพื่อให้กินได้อย่างเต็มที่
> >ไม่ชอบให้แฟนไว้ผมยาวคือผู้ชายไม่ปกติ ++
> ไม่ชอบให้แฟนโกนหนวดคือผู้หญิงไม่ปกติ
> >ถึงแม้จะสายแล้ว ผู้หญิงก็ยังไม่ลืมที่จะแต่งหน้าก่อนไปทำงาน ++
> >ถึงแม้ยังมีเวลาเหลืออยู่มาก ผู้ชายก็ยอมนอนดีกว่าลุกขึ้นมาแต่งตัว
> >ผู้หญิงติดสติกเกอร์ไว้ที่กระจกรถเพื่อแก้เหงา ++
> >ผู้ชายติดฟิล์มกรองแสงไว้ที่กระจกรถเพื่อความสะดวก
> >เถียงกันไม่หยุดเพื่อแย่งที่จอดรถคือผู้หญิง ++
> >เอาเวลานั้นมาหาที่จอดใหม่คือผู้ชาย
> >ผู้หญิงยอมเดินขึ้นลงด้วยบันไดเพื่อลดความอ้วน ++
> >ผู้ชายยอมเดินขึ้นลงบันไดเพื่อไปสูบบุหรี่
> >ผู้หญิงขับรถฝ่าไฟแดงเพราะทะเลาะกับแฟน ++
> >ผู้ชายขับรถฝ่าไฟแดงเพราะพนันกับเพื่อนไว้
> >ถึงแม้จะแต่งตัวสวยขนาดไหนก็ยังไม่กล้ามองหน้าหนุ่มรูปหล่อคือผู้หญิง ++
>
>ถึงแม้จะต้องใช้ไม้ค้ำพยุงตัวอยู่ก็ยังอยากเสี่ยงอันตรายไปมองสาวสวยคือผู้ชาย
> >ผู้ชายที่ไม่รู้จักหาเงินจะจีบผู้หญิงไม่ได้ ++
> >ผู้ชายที่ไม่รู้จักปากหวานยิ่งจีบผู้หญิงไม่ได้เลย
> >แต่งงานกับผู้หญิงมีเงิน ทำให้ผู้ชายลำบากน้อยลง 20 ปี ++
> >แต่งงานกับผู้หญิงอ่อนหวาน ทำให้ผู้ชายอยู่ได้นานอีก 20 ปี
> >ผู้หญิงอยากให้แฟนทำงานได้ก้าวหน้ากว่าเธอ ++
> >ผู้ชายอยากได้แฟนที่ช่วยให้เขาก้าวหน้าได้เร็ว
> >ผู้หญิงฉลาดจะขอร้องให้นักวิศวะซ่อมคอมพิวเตอร์ให้เธอ ++
> >ผู้ชายฉลาดจะขอนัดหล่อนทานอาหารด้วยกันก่อนไปซ่อมคอมพิวเตอร์
> >ผู้หญิงอกหักจะไม่มีกำลังใจทำงาน ++ ผู้ชายอกหักจะทำงานได้ดีกว่าปกติ
> >เงินเดือนของผู้ชายเอามาเลี้ยงครอบครัวหมด ++
> >เงินเดือนของผู้หญิงเก็บเข้ากระเป๋าเธอเองหมด
> >ไม่อยากไปเดินเที่ยวคือผู้ชาย
> >ถึงแม้จะมีลิปสติกร้อยแท่ง ยังอยากซื้อเพิ่มอีกแท่งคือผู้หญิง ++
> >ถึงแม้กางเกงในจะรูพรุนแล้ว รอให้
> >ภรรยาซื้อมาให้ถึงจะยอมเปลี่ยนคือผู้ชาย
> >เลือกที่จะไปซื้อตู้สวยๆ แพงยังไงก็ยอมคือผู้หญิง ++
เลือกที่จะทำตู้ไว้ใช้เอง
> >เหนื่อยยังไงก็ยอมคือผู้ชาย
> >ผู้หญิงจะคิดว่ามีรองเท้าไม่พออยู่เสมอ ++ ผู้ชายจะคิดว่ามีรถไม่พออยู่เสมอ
> >ผู้หญิงทำงานเลี้ยงเสื้อผ้า ++ ผู้ชายทำงานเลี้ยงหุ้น
> >นับวันยิ่งไม่พอใจครีมทาหน้าที่ใช้อยู่ นั่นคือผู้หญิงเริ่มแก่แล้ว ++
> >นับวันยิ่งไม่พอใจขนาดกางเกงที่ใส่อยู่
> >นั่นคือผู้ชายเริ่มแก่แล้ว
> >ผู้หญิงชื่นชอบผู้ชายที่ซื้อโคโลญน์ใช้ แต่ไม่อยากแต่งงานกับเขา ++
> >ผู้ชายชื่นชมผู้หญิงที่ชอบซื้อหนังสือ แต่ไม่อยากขื้นเตียงกับหล่อน
> >ผู้หญิงซื้อคอนดอมให้แฟน ++ ผู้ชายซื้อคอนดอมให้เพื่อน
> >ผู้หญิงจะจำได้ว่าเคยได้รับดอกไม้เมื่อไหร่ เพราะทั้งหมดคือแฟนซื้อให้ ++
> >ผู้ชายไม่เคยจำว่าเคยส่งดอกไม้อะไรให้ผู้หญิง
> เพราะทั้งหมดคือร้านดอกไม้เลือกให้
> >ผู้หญิงจะเลือกซื้อเสื้อผ้าที่ทำให้เธอดูสวยขึ้น ++
> >ผู้ชายจะเลือกซื้อเสื้อผ้าทำให้เขาดูไม่น่าเกลียด
> >ผู้หญิงใช้กระเป๋าหิ้วสีดำเพื่อให้เข้ากับชุดที่เธอใส่ ++
> >ผู้ชายใช้กระเป๋าสตางค์สีดำเพราะมันไม่สกปรกง่าย
> >ผู้หญิงชอบชุดชั้นในสีขาว แต่จะยอมใส่แบบเซ็กซี่เพื่อให้ผู้ชายชอบ ++
> >ผู้ชายชอบใส่กางเกงยีนส์ แต่ไม่ยอมใส่ชุดสูทเพื่อให้หน้าผู้หญิง
> >ผู้หญิงจะเปลี่ยนทรงผมหรือไม่ ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเธอ ++
> >ผู้ชายจะเปลี่ยนทรงผมหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความจู้จี้จุกจิกของผู้หญิง
> >ผู้หญิงยอมอดข้าวหนึ่งเดือน เพื่อให้ใส่กระโปรงสั้นตัวใหม่ได้ ++
> >ผู้ชายยอมซื้อกางเกงตัวใหม่ เพื่อให้กินได้อย่างเต็มที่
> >ไม่ชอบให้แฟนไว้ผมยาวคือผู้ชายไม่ปกติ ++
> ไม่ชอบให้แฟนโกนหนวดคือผู้หญิงไม่ปกติ
> >ถึงแม้จะสายแล้ว ผู้หญิงก็ยังไม่ลืมที่จะแต่งหน้าก่อนไปทำงาน ++
> >ถึงแม้ยังมีเวลาเหลืออยู่มาก ผู้ชายก็ยอมนอนดีกว่าลุกขึ้นมาแต่งตัว
> >ผู้หญิงติดสติกเกอร์ไว้ที่กระจกรถเพื่อแก้เหงา ++
> >ผู้ชายติดฟิล์มกรองแสงไว้ที่กระจกรถเพื่อความสะดวก
> >เถียงกันไม่หยุดเพื่อแย่งที่จอดรถคือผู้หญิง ++
> >เอาเวลานั้นมาหาที่จอดใหม่คือผู้ชาย
> >ผู้หญิงยอมเดินขึ้นลงด้วยบันไดเพื่อลดความอ้วน ++
> >ผู้ชายยอมเดินขึ้นลงบันไดเพื่อไปสูบบุหรี่
> >ผู้หญิงขับรถฝ่าไฟแดงเพราะทะเลาะกับแฟน ++
> >ผู้ชายขับรถฝ่าไฟแดงเพราะพนันกับเพื่อนไว้
> >ถึงแม้จะแต่งตัวสวยขนาดไหนก็ยังไม่กล้ามองหน้าหนุ่มรูปหล่อคือผู้หญิง ++
>
>ถึงแม้จะต้องใช้ไม้ค้ำพยุงตัวอยู่ก็ยังอยากเสี่ยงอันตรายไปมองสาวสวยคือผู้ชาย
> >ผู้ชายที่ไม่รู้จักหาเงินจะจีบผู้หญิงไม่ได้ ++
> >ผู้ชายที่ไม่รู้จักปากหวานยิ่งจีบผู้หญิงไม่ได้เลย
> >แต่งงานกับผู้หญิงมีเงิน ทำให้ผู้ชายลำบากน้อยลง 20 ปี ++
> >แต่งงานกับผู้หญิงอ่อนหวาน ทำให้ผู้ชายอยู่ได้นานอีก 20 ปี
> >ผู้หญิงอยากให้แฟนทำงานได้ก้าวหน้ากว่าเธอ ++
> >ผู้ชายอยากได้แฟนที่ช่วยให้เขาก้าวหน้าได้เร็ว
> >ผู้หญิงฉลาดจะขอร้องให้นักวิศวะซ่อมคอมพิวเตอร์ให้เธอ ++
> >ผู้ชายฉลาดจะขอนัดหล่อนทานอาหารด้วยกันก่อนไปซ่อมคอมพิวเตอร์
> >ผู้หญิงอกหักจะไม่มีกำลังใจทำงาน ++ ผู้ชายอกหักจะทำงานได้ดีกว่าปกติ
> >เงินเดือนของผู้ชายเอามาเลี้ยงครอบครัวหมด ++
> >เงินเดือนของผู้หญิงเก็บเข้ากระเป๋าเธอเองหมด
ป้ายกำกับ:
Stories reminder
สิ่งดีๆที่อยากให้
สิ่งดีๆ ที่เราอยากให้มองสักครั้ง กับด้านดีๆ ของชีวิต
>
>The first day of school our professor introduced himself and challenged us
>to get to know someone we didn't already know. I stood up to look around
>when a gentle hand touched my shoulder. I turned around to find a wrinkled,
> little old lady beaming up at me with a smile that lit up her entire
>being.
>วันแรกที่พวกเราเริ่มการเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นอาจารย์ของเราได้เข้ามาแนะนำตัวและบอกให้พวกเราทำความรู้จักกับคนอื่นๆ
>ที่เราไม่รู้จักมาก่อน ผมยืนขึ้นแล้วมองไปรอบๆ
>และมีมือๆหนึ่งเอื้อมมาจับบ่าของผม ผมหันไปพบกับหญิงชราร่างเล็ก
>ผิวหนังเหี่ยวย่นที่ส่งรอยยิ้มอันเป็นประกายมาให้ผมรอยยิ้มนั้นทำให้เธอดูสดใสอย่างยิ่ง
>
>She said, "Hi handsome. My name is Rose. I'm eighty-seven years old. Can I
>give you a hug?" I laughed and enthusiastically responded, "Of course you
>may!" and she gave me a giant squeeze. "Why are you in college at such a
>young, innocent age?" I asked. She jokingly replied, "I'm here to meet a
>rich husband, get married, have a couple of kids..." "No seriously," I
>asked. I was curious what may have motivated her to be taking on this
>challenge at her age. "I always dreamed of having a college education and
>now I'm getting one!" she told me.
>หญิงชราคนนั้นกล่าวขึ้นว่า “สวัสดี รูปหล่อ ฉันชื่อโรส อายุแปดสิบเจ็ดแล้ว
>มาให้ฉันกอดสักทีสิ” ผมหัวเราะกับท่าทางของเธอ และตอบอย่างร่าเริงว่า “แน่นอน
>ได้สิครับ” แล้วเธอก็กอดผมอย่างแรง ผมถามเธอว่า
>“ทำไมคุณถึงมาเรียนมหาวิทยาลัยเอาตอนที่อายุน้อย และไร้เดียวสาอย่างนี้ละ..”
>เธอตอบด้วยเสียงปนหัวเราะว่า “ฉันมาหาสามีรวยๆ ที่ฉันจะได้แต่งงานด้วย
>แล้วมีลูกสักสองสามคน...” ผมขัดจังหวะเธอ โดยถามว่า “ไม่เอาครับ.. ถามจริงๆ”
>ผมสงสัยจริงๆ ว่าอะไรทำให้เธอมาเรียนที่นี่ตอนที่อายุขนาดนี้ และเธอตอบว่า
>“ฉันฝันมานานแล้ว ว่าฉันจะได้ปริญญา และตอนนี้
>ฉันก็กำลังจะได้ปริญญาที่ฉันฝัน”
>
>After class we walked to the student union building and shared a chocolate
>milkshake. We became instant friends. Every day for the next three months
>we would leave class together and talk nonstop. I was always mesmerized
>listening to this "time machine" as she shared her wisdom and experience
>with me.
>หลังเลิกเรียนวิชานั้น เราเดินไปที่อาคารสโมสรนักศึกษาด้วยกัน
>และนั่งกินชอคโกแลตปั่นด้วยกัน
>เรากลายเป็นเพื่อนกันในทันทีตลอดสามเดือนหลังจากนั้นเราจะออกจากชั้นเรียนพร้อมกันและจะไปนั่งคุยกันไม่หยุด
>ผมนั้นประหลาดใจเสมอเมื่อได้ฟัง “ยานเวลา” ลำนี้แบ่งปันความรู้
>และประสบการณ์ของเธอให้กับผม
>
>Over the course of the year, Rose became a campus icon and she easily made
>friends wherever she went. She loved to dress up and she reveled in the
>attention bestowed upon her from the other students. he was living it up.
>ตลอดปีนั้น
>โรสได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยของเราและเธอนั้นจะเป็นเพื่อนได้กับทุกคน
>ในทุกที่ที่เธอไป
>เธอรักที่จะแต่งตัวดีๆและดื่มด่ำอยู่กับความสนใจที่นักศึกษาคนอื่นๆ
>มีให้กับเธอ เธอได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่
>
>At the end of the semester we invited Rose to speak at our football
>banquet. I'll never forget what she taught us. She was introduced and
>stepped up to the podium. As she began to deliver her prepared speech, she
>dropped her three by five cards on the floor.
>เมื่อถึงตอนสิ้นสุดภาคการศึกษาเราได้เชิญโรสให้มาพูดที่งานเลี้ยงของทีมฟุตบอลของเรา
>ผมไม่เคยลืมเลย ว่าเธอได้สอนอะไรให้กับเรา พิธีกรแนะนำตัวเธอ
>และเธอก็เดินขึ้นมาที่แท่นตอนที่เธอกำลังเตรียมตัวที่จะพูดตามที่เธอตั้งใจนั้น
>เธอทำการ์ดที่บันทึกเรื่องที่เธอจะพูดตกพื้น
>
>Frustrated and a little embarrassed she leaned into the microphone and
>simply said, "I'm sorry I'm so jittery. I gave up beer for Lent and this
>whiskey is killing me! I'll never get my speech back in order so let me
>just tell you what I know.
>"เธอทั้งอาย ทั้งประหม่า แต่เธอโน้มตัวเข้าหาไมโครโฟนแล้วบอกว่า “ขอโทษด้วยนะ
>ที่ฉันซุ่มซ่าม ฉันเลิกกินเบียร์มาตั้งนานแล้ว แต่วิสกี้พวกนี้มันแรงจริงๆ..
>ฉันคงจะเอาบทของฉันมาเรียงใหม่ไม่ทันแล้วงั้นฉันก็คงได้แค่บอกเรื่องที่ฉันรู้ให้กับพวกคุณก็แล้วกัน”
>
>As we laughed she cleared her throat and began, "We do not stop playing
>because we are old; we grow old because we stop playing. There are only
>four secrets to staying young, being happy, and achieving success.
>พวกเราทุกคนหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง ตอนที่เธอเริ่มต้นว่า “พวกเราทุกคนนั้น
>ไม่ได้หยุดเล่น เพราะเราแก่หรอก แต่เราแก่เพราะว่าเราหยุดเล่น ที่จริงแล้ว
>มีเคล็ดลับสู่การที่จะยังหนุ่มสาวอยู่เสมอ มีความสุข และประสบความสำเร็จอยู่ 4
>ประการ
>
>1) You have to laugh and find humor every day.
>1.) พวกคุณจะต้องหัวเราะ และมีเรื่องสนุกๆ ขำขันทุกวัน
>
>2) You've got to have a dream. When you lose your dreams, you die. We have
>so many people walking around who are dead and don't even know it!
>2.) พวกคุณจะต้องมีความฝัน เมื่อไรก็ตามที่คุณสูญเสียความฝันของคุณไปคุณจะตาย
>มีคนมากมายที่ยังเดินไปเดินมาอยู่ทั้งๆที่ตายไปแล้ว
>และไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตายไปแล้ว..
>
>3) There is a huge difference between growing older and growing up. If you
>are nineteen years old and lie in bed for one full year and don't do one
>productive thing, you will turn twenty years old. If I am eighty-seven
>years old and stay in bed for a year and never do anything, I will
>turneighty-eight. Anybody can grow older. That doesn't take any talent
>orability. The idea is to grow up by always finding the opportunity in
>change.
>3.) การที่คุณ “แก่ขึ้น” กับ “เติบโตขึ้น” นั้นมันต่างกันมาก
>ถ้าคุณอายุสิบเก้าแล้วนอนอยู่บนเตียงเฉยๆ ปีหนึ่ง
>และไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ตลอดทั้งปี คุณก็จะอายุยี่สิบ
>ถ้าฉันอายุแปดสิบเจ็ด แล้วนอนเฉยๆไม่ทำอะไรเลยตลอดทั้งปี ฉันก็จะอายุ
>แปดสิบแปด ทุกๆ คนนั้นจะแก่ขึ้นทั้งนั้นไม่จำเป็นต้องอาศัยความสามารถอะไรเลย
>ประเด็นของการ “เติบโตขึ้น”นั้นอยู่ที่การแสวงหาโอกาสในการเปลี่ยนแปลง
>
>4) Have no regrets. The elderly usually don't have regrets for what we did,
>but rather for things we did not do. The only people who fear death are
>those with regrets."
>4.) อย่าทิ้งอะไรไว้ให้เสียใจภายหลัง คนสูงอายุส่วนใหญ่นั้น
>ไม่เสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไปแล้ว แต่มักจะเสียใจกับสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ
>มีแต่คนที่ยังมีสิ่งทีต้องเสียใจค้างอยู่เท่านั้น ที่กลัวความตายนั้น
>
>She concluded her speech by courageously inging "The Rose." She challenged
>each of us to study the lyrics and live them out in our daily lives.At the
>year's end Rose finished the college degree she had begun all those years
>ago.
>เธอจบการพูดของเธอด้วยการร้องเพลง “The Rose”
>อย่างกล้าหาญและเธอได้แนะให้พวกเราทุกคนศึกษาเนื้อร้องของเพลงนั้นและเอาความหมายเหล่านั้นมาใช้กับชีวิตประจำวันของพวกเรา
>เมื่อสิ้นปีการศึกษานั้นโรสได้รับปริญญาที่เธอได้เริ่มฝันไว้เมื่อนานมาแล้ว
>
>One week after graduation Rose died peacefully in her sleep. Over two
>thousand college students attended her funeral in tribute to the wonderful
>woman who taught by example that it's never too late to be all you can
>possibly be.
>หนึ่งสัปดาห์หลังจบการศึกษา โรสจากไปอย่างสงบ
>เธอนอนหลับไปและไม่ตื่นขึ้นอีกเลย
>นักศีกษากว่าสองพันคนไปร่วมพิธีศพของเธอเพื่อแสดงความเคาพบต่อหญิงชราผู้วิเศษ
>ผู้ได้สอนให้พวกเขาได้รู้ด้วยการทำให้เห็นเป็นตัวอย่างว่าไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะเป็นทุกสิ่งที่คุณสามารถเป็นได้
>
>When you finish reading this, please send this peaceful word of advice to
>your friends and family, they'll really enjoy it! These words havebeen
>passed along in loving memory of ROSE.
>เมื่อคุณอ่านเรื่องนี้จบลง
>กรุณาส่งคำแนะนำอันดีเยี่ยมนี้ต่อให้กับเพื่อนและครอบครัวของคุณ
>พวกเขาคงจะชอบมันเรื่องราวเหล่านี้ส่งต่อกันมาเพื่อระลึกถึงหญิงชราที่ชื่อ โรส
>
>REMEMBER, GROWING OLDER IS MANDATORY. GROWING UP IS OPTIONAL.
>จงจำไว้ว่า การแก่ขึ้นนั้น
>เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แต่การเติบโตขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่เราเลือกได้
>
>We make a Living by what we get, We make a Life by what we give.
>เราอยู่ได้ด้วยสิ่งที่เราได้รับ แต่เราจะมีชีวิตอยู่เพราะสิ่งที่เราให้ไป
>
>God promises a safe landing, not a calm passage
>พระเจ้าได้สัญญากับเราไว้ว่า เราจะสิ้นสุดชีวิตเราอย่างปลอดภัย
>แต่ไม่ได้สัญญาว่าทางเดินไปนั้นจะราบเรียบ
>
>If God brings you to it - He will bring you through it.
>หากพระเจ้าได้นำคุณมาสู่การมีชีวิตแล้ว ท่านจะนำพาคุณผ่านชีวิตไปให้ได้เสมอ
>
>Just Thinking
>
>The first day of school our professor introduced himself and challenged us
>to get to know someone we didn't already know. I stood up to look around
>when a gentle hand touched my shoulder. I turned around to find a wrinkled,
> little old lady beaming up at me with a smile that lit up her entire
>being.
>วันแรกที่พวกเราเริ่มการเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นอาจารย์ของเราได้เข้ามาแนะนำตัวและบอกให้พวกเราทำความรู้จักกับคนอื่นๆ
>ที่เราไม่รู้จักมาก่อน ผมยืนขึ้นแล้วมองไปรอบๆ
>และมีมือๆหนึ่งเอื้อมมาจับบ่าของผม ผมหันไปพบกับหญิงชราร่างเล็ก
>ผิวหนังเหี่ยวย่นที่ส่งรอยยิ้มอันเป็นประกายมาให้ผมรอยยิ้มนั้นทำให้เธอดูสดใสอย่างยิ่ง
>
>She said, "Hi handsome. My name is Rose. I'm eighty-seven years old. Can I
>give you a hug?" I laughed and enthusiastically responded, "Of course you
>may!" and she gave me a giant squeeze. "Why are you in college at such a
>young, innocent age?" I asked. She jokingly replied, "I'm here to meet a
>rich husband, get married, have a couple of kids..." "No seriously," I
>asked. I was curious what may have motivated her to be taking on this
>challenge at her age. "I always dreamed of having a college education and
>now I'm getting one!" she told me.
>หญิงชราคนนั้นกล่าวขึ้นว่า “สวัสดี รูปหล่อ ฉันชื่อโรส อายุแปดสิบเจ็ดแล้ว
>มาให้ฉันกอดสักทีสิ” ผมหัวเราะกับท่าทางของเธอ และตอบอย่างร่าเริงว่า “แน่นอน
>ได้สิครับ” แล้วเธอก็กอดผมอย่างแรง ผมถามเธอว่า
>“ทำไมคุณถึงมาเรียนมหาวิทยาลัยเอาตอนที่อายุน้อย และไร้เดียวสาอย่างนี้ละ..”
>เธอตอบด้วยเสียงปนหัวเราะว่า “ฉันมาหาสามีรวยๆ ที่ฉันจะได้แต่งงานด้วย
>แล้วมีลูกสักสองสามคน...” ผมขัดจังหวะเธอ โดยถามว่า “ไม่เอาครับ.. ถามจริงๆ”
>ผมสงสัยจริงๆ ว่าอะไรทำให้เธอมาเรียนที่นี่ตอนที่อายุขนาดนี้ และเธอตอบว่า
>“ฉันฝันมานานแล้ว ว่าฉันจะได้ปริญญา และตอนนี้
>ฉันก็กำลังจะได้ปริญญาที่ฉันฝัน”
>
>After class we walked to the student union building and shared a chocolate
>milkshake. We became instant friends. Every day for the next three months
>we would leave class together and talk nonstop. I was always mesmerized
>listening to this "time machine" as she shared her wisdom and experience
>with me.
>หลังเลิกเรียนวิชานั้น เราเดินไปที่อาคารสโมสรนักศึกษาด้วยกัน
>และนั่งกินชอคโกแลตปั่นด้วยกัน
>เรากลายเป็นเพื่อนกันในทันทีตลอดสามเดือนหลังจากนั้นเราจะออกจากชั้นเรียนพร้อมกันและจะไปนั่งคุยกันไม่หยุด
>ผมนั้นประหลาดใจเสมอเมื่อได้ฟัง “ยานเวลา” ลำนี้แบ่งปันความรู้
>และประสบการณ์ของเธอให้กับผม
>
>Over the course of the year, Rose became a campus icon and she easily made
>friends wherever she went. She loved to dress up and she reveled in the
>attention bestowed upon her from the other students. he was living it up.
>ตลอดปีนั้น
>โรสได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยของเราและเธอนั้นจะเป็นเพื่อนได้กับทุกคน
>ในทุกที่ที่เธอไป
>เธอรักที่จะแต่งตัวดีๆและดื่มด่ำอยู่กับความสนใจที่นักศึกษาคนอื่นๆ
>มีให้กับเธอ เธอได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่
>
>At the end of the semester we invited Rose to speak at our football
>banquet. I'll never forget what she taught us. She was introduced and
>stepped up to the podium. As she began to deliver her prepared speech, she
>dropped her three by five cards on the floor.
>เมื่อถึงตอนสิ้นสุดภาคการศึกษาเราได้เชิญโรสให้มาพูดที่งานเลี้ยงของทีมฟุตบอลของเรา
>ผมไม่เคยลืมเลย ว่าเธอได้สอนอะไรให้กับเรา พิธีกรแนะนำตัวเธอ
>และเธอก็เดินขึ้นมาที่แท่นตอนที่เธอกำลังเตรียมตัวที่จะพูดตามที่เธอตั้งใจนั้น
>เธอทำการ์ดที่บันทึกเรื่องที่เธอจะพูดตกพื้น
>
>Frustrated and a little embarrassed she leaned into the microphone and
>simply said, "I'm sorry I'm so jittery. I gave up beer for Lent and this
>whiskey is killing me! I'll never get my speech back in order so let me
>just tell you what I know.
>"เธอทั้งอาย ทั้งประหม่า แต่เธอโน้มตัวเข้าหาไมโครโฟนแล้วบอกว่า “ขอโทษด้วยนะ
>ที่ฉันซุ่มซ่าม ฉันเลิกกินเบียร์มาตั้งนานแล้ว แต่วิสกี้พวกนี้มันแรงจริงๆ..
>ฉันคงจะเอาบทของฉันมาเรียงใหม่ไม่ทันแล้วงั้นฉันก็คงได้แค่บอกเรื่องที่ฉันรู้ให้กับพวกคุณก็แล้วกัน”
>
>As we laughed she cleared her throat and began, "We do not stop playing
>because we are old; we grow old because we stop playing. There are only
>four secrets to staying young, being happy, and achieving success.
>พวกเราทุกคนหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง ตอนที่เธอเริ่มต้นว่า “พวกเราทุกคนนั้น
>ไม่ได้หยุดเล่น เพราะเราแก่หรอก แต่เราแก่เพราะว่าเราหยุดเล่น ที่จริงแล้ว
>มีเคล็ดลับสู่การที่จะยังหนุ่มสาวอยู่เสมอ มีความสุข และประสบความสำเร็จอยู่ 4
>ประการ
>
>1) You have to laugh and find humor every day.
>1.) พวกคุณจะต้องหัวเราะ และมีเรื่องสนุกๆ ขำขันทุกวัน
>
>2) You've got to have a dream. When you lose your dreams, you die. We have
>so many people walking around who are dead and don't even know it!
>2.) พวกคุณจะต้องมีความฝัน เมื่อไรก็ตามที่คุณสูญเสียความฝันของคุณไปคุณจะตาย
>มีคนมากมายที่ยังเดินไปเดินมาอยู่ทั้งๆที่ตายไปแล้ว
>และไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตายไปแล้ว..
>
>3) There is a huge difference between growing older and growing up. If you
>are nineteen years old and lie in bed for one full year and don't do one
>productive thing, you will turn twenty years old. If I am eighty-seven
>years old and stay in bed for a year and never do anything, I will
>turneighty-eight. Anybody can grow older. That doesn't take any talent
>orability. The idea is to grow up by always finding the opportunity in
>change.
>3.) การที่คุณ “แก่ขึ้น” กับ “เติบโตขึ้น” นั้นมันต่างกันมาก
>ถ้าคุณอายุสิบเก้าแล้วนอนอยู่บนเตียงเฉยๆ ปีหนึ่ง
>และไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ตลอดทั้งปี คุณก็จะอายุยี่สิบ
>ถ้าฉันอายุแปดสิบเจ็ด แล้วนอนเฉยๆไม่ทำอะไรเลยตลอดทั้งปี ฉันก็จะอายุ
>แปดสิบแปด ทุกๆ คนนั้นจะแก่ขึ้นทั้งนั้นไม่จำเป็นต้องอาศัยความสามารถอะไรเลย
>ประเด็นของการ “เติบโตขึ้น”นั้นอยู่ที่การแสวงหาโอกาสในการเปลี่ยนแปลง
>
>4) Have no regrets. The elderly usually don't have regrets for what we did,
>but rather for things we did not do. The only people who fear death are
>those with regrets."
>4.) อย่าทิ้งอะไรไว้ให้เสียใจภายหลัง คนสูงอายุส่วนใหญ่นั้น
>ไม่เสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไปแล้ว แต่มักจะเสียใจกับสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ
>มีแต่คนที่ยังมีสิ่งทีต้องเสียใจค้างอยู่เท่านั้น ที่กลัวความตายนั้น
>
>She concluded her speech by courageously inging "The Rose." She challenged
>each of us to study the lyrics and live them out in our daily lives.At the
>year's end Rose finished the college degree she had begun all those years
>ago.
>เธอจบการพูดของเธอด้วยการร้องเพลง “The Rose”
>อย่างกล้าหาญและเธอได้แนะให้พวกเราทุกคนศึกษาเนื้อร้องของเพลงนั้นและเอาความหมายเหล่านั้นมาใช้กับชีวิตประจำวันของพวกเรา
>เมื่อสิ้นปีการศึกษานั้นโรสได้รับปริญญาที่เธอได้เริ่มฝันไว้เมื่อนานมาแล้ว
>
>One week after graduation Rose died peacefully in her sleep. Over two
>thousand college students attended her funeral in tribute to the wonderful
>woman who taught by example that it's never too late to be all you can
>possibly be.
>หนึ่งสัปดาห์หลังจบการศึกษา โรสจากไปอย่างสงบ
>เธอนอนหลับไปและไม่ตื่นขึ้นอีกเลย
>นักศีกษากว่าสองพันคนไปร่วมพิธีศพของเธอเพื่อแสดงความเคาพบต่อหญิงชราผู้วิเศษ
>ผู้ได้สอนให้พวกเขาได้รู้ด้วยการทำให้เห็นเป็นตัวอย่างว่าไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะเป็นทุกสิ่งที่คุณสามารถเป็นได้
>
>When you finish reading this, please send this peaceful word of advice to
>your friends and family, they'll really enjoy it! These words havebeen
>passed along in loving memory of ROSE.
>เมื่อคุณอ่านเรื่องนี้จบลง
>กรุณาส่งคำแนะนำอันดีเยี่ยมนี้ต่อให้กับเพื่อนและครอบครัวของคุณ
>พวกเขาคงจะชอบมันเรื่องราวเหล่านี้ส่งต่อกันมาเพื่อระลึกถึงหญิงชราที่ชื่อ โรส
>
>REMEMBER, GROWING OLDER IS MANDATORY. GROWING UP IS OPTIONAL.
>จงจำไว้ว่า การแก่ขึ้นนั้น
>เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แต่การเติบโตขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่เราเลือกได้
>
>We make a Living by what we get, We make a Life by what we give.
>เราอยู่ได้ด้วยสิ่งที่เราได้รับ แต่เราจะมีชีวิตอยู่เพราะสิ่งที่เราให้ไป
>
>God promises a safe landing, not a calm passage
>พระเจ้าได้สัญญากับเราไว้ว่า เราจะสิ้นสุดชีวิตเราอย่างปลอดภัย
>แต่ไม่ได้สัญญาว่าทางเดินไปนั้นจะราบเรียบ
>
>If God brings you to it - He will bring you through it.
>หากพระเจ้าได้นำคุณมาสู่การมีชีวิตแล้ว ท่านจะนำพาคุณผ่านชีวิตไปให้ได้เสมอ
>
>Just Thinking
ป้ายกำกับ:
เคล็ดลับ น่ารู้,
Stories reminder
สิ่งดีๆที่อยากให้
สิ่งดีๆ ที่เราอยากให้มองสักครั้ง กับด้านดีๆ ของชีวิต
>
>The first day of school our professor introduced himself and challenged us
>to get to know someone we didn't already know. I stood up to look around
>when a gentle hand touched my shoulder. I turned around to find a wrinkled,
> little old lady beaming up at me with a smile that lit up her entire
>being.
>วันแรกที่พวกเราเริ่มการเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นอาจารย์ของเราได้เข้ามาแนะนำตัวและบอกให้พวกเราทำความรู้จักกับคนอื่นๆ
>ที่เราไม่รู้จักมาก่อน ผมยืนขึ้นแล้วมองไปรอบๆ
>และมีมือๆหนึ่งเอื้อมมาจับบ่าของผม ผมหันไปพบกับหญิงชราร่างเล็ก
>ผิวหนังเหี่ยวย่นที่ส่งรอยยิ้มอันเป็นประกายมาให้ผมรอยยิ้มนั้นทำให้เธอดูสดใสอย่างยิ่ง
>
>She said, "Hi handsome. My name is Rose. I'm eighty-seven years old. Can I
>give you a hug?" I laughed and enthusiastically responded, "Of course you
>may!" and she gave me a giant squeeze. "Why are you in college at such a
>young, innocent age?" I asked. She jokingly replied, "I'm here to meet a
>rich husband, get married, have a couple of kids..." "No seriously," I
>asked. I was curious what may have motivated her to be taking on this
>challenge at her age. "I always dreamed of having a college education and
>now I'm getting one!" she told me.
>หญิงชราคนนั้นกล่าวขึ้นว่า “สวัสดี รูปหล่อ ฉันชื่อโรส อายุแปดสิบเจ็ดแล้ว
>มาให้ฉันกอดสักทีสิ” ผมหัวเราะกับท่าทางของเธอ และตอบอย่างร่าเริงว่า “แน่นอน
>ได้สิครับ” แล้วเธอก็กอดผมอย่างแรง ผมถามเธอว่า
>“ทำไมคุณถึงมาเรียนมหาวิทยาลัยเอาตอนที่อายุน้อย และไร้เดียวสาอย่างนี้ละ..”
>เธอตอบด้วยเสียงปนหัวเราะว่า “ฉันมาหาสามีรวยๆ ที่ฉันจะได้แต่งงานด้วย
>แล้วมีลูกสักสองสามคน...” ผมขัดจังหวะเธอ โดยถามว่า “ไม่เอาครับ.. ถามจริงๆ”
>ผมสงสัยจริงๆ ว่าอะไรทำให้เธอมาเรียนที่นี่ตอนที่อายุขนาดนี้ และเธอตอบว่า
>“ฉันฝันมานานแล้ว ว่าฉันจะได้ปริญญา และตอนนี้
>ฉันก็กำลังจะได้ปริญญาที่ฉันฝัน”
>
>After class we walked to the student union building and shared a chocolate
>milkshake. We became instant friends. Every day for the next three months
>we would leave class together and talk nonstop. I was always mesmerized
>listening to this "time machine" as she shared her wisdom and experience
>with me.
>หลังเลิกเรียนวิชานั้น เราเดินไปที่อาคารสโมสรนักศึกษาด้วยกัน
>และนั่งกินชอคโกแลตปั่นด้วยกัน
>เรากลายเป็นเพื่อนกันในทันทีตลอดสามเดือนหลังจากนั้นเราจะออกจากชั้นเรียนพร้อมกันและจะไปนั่งคุยกันไม่หยุด
>ผมนั้นประหลาดใจเสมอเมื่อได้ฟัง “ยานเวลา” ลำนี้แบ่งปันความรู้
>และประสบการณ์ของเธอให้กับผม
>
>Over the course of the year, Rose became a campus icon and she easily made
>friends wherever she went. She loved to dress up and she reveled in the
>attention bestowed upon her from the other students. he was living it up.
>ตลอดปีนั้น
>โรสได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยของเราและเธอนั้นจะเป็นเพื่อนได้กับทุกคน
>ในทุกที่ที่เธอไป
>เธอรักที่จะแต่งตัวดีๆและดื่มด่ำอยู่กับความสนใจที่นักศึกษาคนอื่นๆ
>มีให้กับเธอ เธอได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่
>
>At the end of the semester we invited Rose to speak at our football
>banquet. I'll never forget what she taught us. She was introduced and
>stepped up to the podium. As she began to deliver her prepared speech, she
>dropped her three by five cards on the floor.
>เมื่อถึงตอนสิ้นสุดภาคการศึกษาเราได้เชิญโรสให้มาพูดที่งานเลี้ยงของทีมฟุตบอลของเรา
>ผมไม่เคยลืมเลย ว่าเธอได้สอนอะไรให้กับเรา พิธีกรแนะนำตัวเธอ
>และเธอก็เดินขึ้นมาที่แท่นตอนที่เธอกำลังเตรียมตัวที่จะพูดตามที่เธอตั้งใจนั้น
>เธอทำการ์ดที่บันทึกเรื่องที่เธอจะพูดตกพื้น
>
>Frustrated and a little embarrassed she leaned into the microphone and
>simply said, "I'm sorry I'm so jittery. I gave up beer for Lent and this
>whiskey is killing me! I'll never get my speech back in order so let me
>just tell you what I know.
>"เธอทั้งอาย ทั้งประหม่า แต่เธอโน้มตัวเข้าหาไมโครโฟนแล้วบอกว่า “ขอโทษด้วยนะ
>ที่ฉันซุ่มซ่าม ฉันเลิกกินเบียร์มาตั้งนานแล้ว แต่วิสกี้พวกนี้มันแรงจริงๆ..
>ฉันคงจะเอาบทของฉันมาเรียงใหม่ไม่ทันแล้วงั้นฉันก็คงได้แค่บอกเรื่องที่ฉันรู้ให้กับพวกคุณก็แล้วกัน”
>
>As we laughed she cleared her throat and began, "We do not stop playing
>because we are old; we grow old because we stop playing. There are only
>four secrets to staying young, being happy, and achieving success.
>พวกเราทุกคนหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง ตอนที่เธอเริ่มต้นว่า “พวกเราทุกคนนั้น
>ไม่ได้หยุดเล่น เพราะเราแก่หรอก แต่เราแก่เพราะว่าเราหยุดเล่น ที่จริงแล้ว
>มีเคล็ดลับสู่การที่จะยังหนุ่มสาวอยู่เสมอ มีความสุข และประสบความสำเร็จอยู่ 4
>ประการ
>
>1) You have to laugh and find humor every day.
>1.) พวกคุณจะต้องหัวเราะ และมีเรื่องสนุกๆ ขำขันทุกวัน
>
>2) You've got to have a dream. When you lose your dreams, you die. We have
>so many people walking around who are dead and don't even know it!
>2.) พวกคุณจะต้องมีความฝัน เมื่อไรก็ตามที่คุณสูญเสียความฝันของคุณไปคุณจะตาย
>มีคนมากมายที่ยังเดินไปเดินมาอยู่ทั้งๆที่ตายไปแล้ว
>และไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตายไปแล้ว..
>
>3) There is a huge difference between growing older and growing up. If you
>are nineteen years old and lie in bed for one full year and don't do one
>productive thing, you will turn twenty years old. If I am eighty-seven
>years old and stay in bed for a year and never do anything, I will
>turneighty-eight. Anybody can grow older. That doesn't take any talent
>orability. The idea is to grow up by always finding the opportunity in
>change.
>3.) การที่คุณ “แก่ขึ้น” กับ “เติบโตขึ้น” นั้นมันต่างกันมาก
>ถ้าคุณอายุสิบเก้าแล้วนอนอยู่บนเตียงเฉยๆ ปีหนึ่ง
>และไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ตลอดทั้งปี คุณก็จะอายุยี่สิบ
>ถ้าฉันอายุแปดสิบเจ็ด แล้วนอนเฉยๆไม่ทำอะไรเลยตลอดทั้งปี ฉันก็จะอายุ
>แปดสิบแปด ทุกๆ คนนั้นจะแก่ขึ้นทั้งนั้นไม่จำเป็นต้องอาศัยความสามารถอะไรเลย
>ประเด็นของการ “เติบโตขึ้น”นั้นอยู่ที่การแสวงหาโอกาสในการเปลี่ยนแปลง
>
>4) Have no regrets. The elderly usually don't have regrets for what we did,
>but rather for things we did not do. The only people who fear death are
>those with regrets."
>4.) อย่าทิ้งอะไรไว้ให้เสียใจภายหลัง คนสูงอายุส่วนใหญ่นั้น
>ไม่เสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไปแล้ว แต่มักจะเสียใจกับสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ
>มีแต่คนที่ยังมีสิ่งทีต้องเสียใจค้างอยู่เท่านั้น ที่กลัวความตายนั้น
>
>She concluded her speech by courageously inging "The Rose." She challenged
>each of us to study the lyrics and live them out in our daily lives.At the
>year's end Rose finished the college degree she had begun all those years
>ago.
>เธอจบการพูดของเธอด้วยการร้องเพลง “The Rose”
>อย่างกล้าหาญและเธอได้แนะให้พวกเราทุกคนศึกษาเนื้อร้องของเพลงนั้นและเอาความหมายเหล่านั้นมาใช้กับชีวิตประจำวันของพวกเรา
>เมื่อสิ้นปีการศึกษานั้นโรสได้รับปริญญาที่เธอได้เริ่มฝันไว้เมื่อนานมาแล้ว
>
>One week after graduation Rose died peacefully in her sleep. Over two
>thousand college students attended her funeral in tribute to the wonderful
>woman who taught by example that it's never too late to be all you can
>possibly be.
>หนึ่งสัปดาห์หลังจบการศึกษา โรสจากไปอย่างสงบ
>เธอนอนหลับไปและไม่ตื่นขึ้นอีกเลย
>นักศีกษากว่าสองพันคนไปร่วมพิธีศพของเธอเพื่อแสดงความเคาพบต่อหญิงชราผู้วิเศษ
>ผู้ได้สอนให้พวกเขาได้รู้ด้วยการทำให้เห็นเป็นตัวอย่างว่าไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะเป็นทุกสิ่งที่คุณสามารถเป็นได้
>
>When you finish reading this, please send this peaceful word of advice to
>your friends and family, they'll really enjoy it! These words havebeen
>passed along in loving memory of ROSE.
>เมื่อคุณอ่านเรื่องนี้จบลง
>กรุณาส่งคำแนะนำอันดีเยี่ยมนี้ต่อให้กับเพื่อนและครอบครัวของคุณ
>พวกเขาคงจะชอบมันเรื่องราวเหล่านี้ส่งต่อกันมาเพื่อระลึกถึงหญิงชราที่ชื่อ โรส
>
>REMEMBER, GROWING OLDER IS MANDATORY. GROWING UP IS OPTIONAL.
>จงจำไว้ว่า การแก่ขึ้นนั้น
>เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แต่การเติบโตขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่เราเลือกได้
>
>We make a Living by what we get, We make a Life by what we give.
>เราอยู่ได้ด้วยสิ่งที่เราได้รับ แต่เราจะมีชีวิตอยู่เพราะสิ่งที่เราให้ไป
>
>God promises a safe landing, not a calm passage
>พระเจ้าได้สัญญากับเราไว้ว่า เราจะสิ้นสุดชีวิตเราอย่างปลอดภัย
>แต่ไม่ได้สัญญาว่าทางเดินไปนั้นจะราบเรียบ
>
>If God brings you to it - He will bring you through it.
>หากพระเจ้าได้นำคุณมาสู่การมีชีวิตแล้ว ท่านจะนำพาคุณผ่านชีวิตไปให้ได้เสมอ
>
>Just Thinking
>
>The first day of school our professor introduced himself and challenged us
>to get to know someone we didn't already know. I stood up to look around
>when a gentle hand touched my shoulder. I turned around to find a wrinkled,
> little old lady beaming up at me with a smile that lit up her entire
>being.
>วันแรกที่พวกเราเริ่มการเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นอาจารย์ของเราได้เข้ามาแนะนำตัวและบอกให้พวกเราทำความรู้จักกับคนอื่นๆ
>ที่เราไม่รู้จักมาก่อน ผมยืนขึ้นแล้วมองไปรอบๆ
>และมีมือๆหนึ่งเอื้อมมาจับบ่าของผม ผมหันไปพบกับหญิงชราร่างเล็ก
>ผิวหนังเหี่ยวย่นที่ส่งรอยยิ้มอันเป็นประกายมาให้ผมรอยยิ้มนั้นทำให้เธอดูสดใสอย่างยิ่ง
>
>She said, "Hi handsome. My name is Rose. I'm eighty-seven years old. Can I
>give you a hug?" I laughed and enthusiastically responded, "Of course you
>may!" and she gave me a giant squeeze. "Why are you in college at such a
>young, innocent age?" I asked. She jokingly replied, "I'm here to meet a
>rich husband, get married, have a couple of kids..." "No seriously," I
>asked. I was curious what may have motivated her to be taking on this
>challenge at her age. "I always dreamed of having a college education and
>now I'm getting one!" she told me.
>หญิงชราคนนั้นกล่าวขึ้นว่า “สวัสดี รูปหล่อ ฉันชื่อโรส อายุแปดสิบเจ็ดแล้ว
>มาให้ฉันกอดสักทีสิ” ผมหัวเราะกับท่าทางของเธอ และตอบอย่างร่าเริงว่า “แน่นอน
>ได้สิครับ” แล้วเธอก็กอดผมอย่างแรง ผมถามเธอว่า
>“ทำไมคุณถึงมาเรียนมหาวิทยาลัยเอาตอนที่อายุน้อย และไร้เดียวสาอย่างนี้ละ..”
>เธอตอบด้วยเสียงปนหัวเราะว่า “ฉันมาหาสามีรวยๆ ที่ฉันจะได้แต่งงานด้วย
>แล้วมีลูกสักสองสามคน...” ผมขัดจังหวะเธอ โดยถามว่า “ไม่เอาครับ.. ถามจริงๆ”
>ผมสงสัยจริงๆ ว่าอะไรทำให้เธอมาเรียนที่นี่ตอนที่อายุขนาดนี้ และเธอตอบว่า
>“ฉันฝันมานานแล้ว ว่าฉันจะได้ปริญญา และตอนนี้
>ฉันก็กำลังจะได้ปริญญาที่ฉันฝัน”
>
>After class we walked to the student union building and shared a chocolate
>milkshake. We became instant friends. Every day for the next three months
>we would leave class together and talk nonstop. I was always mesmerized
>listening to this "time machine" as she shared her wisdom and experience
>with me.
>หลังเลิกเรียนวิชานั้น เราเดินไปที่อาคารสโมสรนักศึกษาด้วยกัน
>และนั่งกินชอคโกแลตปั่นด้วยกัน
>เรากลายเป็นเพื่อนกันในทันทีตลอดสามเดือนหลังจากนั้นเราจะออกจากชั้นเรียนพร้อมกันและจะไปนั่งคุยกันไม่หยุด
>ผมนั้นประหลาดใจเสมอเมื่อได้ฟัง “ยานเวลา” ลำนี้แบ่งปันความรู้
>และประสบการณ์ของเธอให้กับผม
>
>Over the course of the year, Rose became a campus icon and she easily made
>friends wherever she went. She loved to dress up and she reveled in the
>attention bestowed upon her from the other students. he was living it up.
>ตลอดปีนั้น
>โรสได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยของเราและเธอนั้นจะเป็นเพื่อนได้กับทุกคน
>ในทุกที่ที่เธอไป
>เธอรักที่จะแต่งตัวดีๆและดื่มด่ำอยู่กับความสนใจที่นักศึกษาคนอื่นๆ
>มีให้กับเธอ เธอได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่
>
>At the end of the semester we invited Rose to speak at our football
>banquet. I'll never forget what she taught us. She was introduced and
>stepped up to the podium. As she began to deliver her prepared speech, she
>dropped her three by five cards on the floor.
>เมื่อถึงตอนสิ้นสุดภาคการศึกษาเราได้เชิญโรสให้มาพูดที่งานเลี้ยงของทีมฟุตบอลของเรา
>ผมไม่เคยลืมเลย ว่าเธอได้สอนอะไรให้กับเรา พิธีกรแนะนำตัวเธอ
>และเธอก็เดินขึ้นมาที่แท่นตอนที่เธอกำลังเตรียมตัวที่จะพูดตามที่เธอตั้งใจนั้น
>เธอทำการ์ดที่บันทึกเรื่องที่เธอจะพูดตกพื้น
>
>Frustrated and a little embarrassed she leaned into the microphone and
>simply said, "I'm sorry I'm so jittery. I gave up beer for Lent and this
>whiskey is killing me! I'll never get my speech back in order so let me
>just tell you what I know.
>"เธอทั้งอาย ทั้งประหม่า แต่เธอโน้มตัวเข้าหาไมโครโฟนแล้วบอกว่า “ขอโทษด้วยนะ
>ที่ฉันซุ่มซ่าม ฉันเลิกกินเบียร์มาตั้งนานแล้ว แต่วิสกี้พวกนี้มันแรงจริงๆ..
>ฉันคงจะเอาบทของฉันมาเรียงใหม่ไม่ทันแล้วงั้นฉันก็คงได้แค่บอกเรื่องที่ฉันรู้ให้กับพวกคุณก็แล้วกัน”
>
>As we laughed she cleared her throat and began, "We do not stop playing
>because we are old; we grow old because we stop playing. There are only
>four secrets to staying young, being happy, and achieving success.
>พวกเราทุกคนหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง ตอนที่เธอเริ่มต้นว่า “พวกเราทุกคนนั้น
>ไม่ได้หยุดเล่น เพราะเราแก่หรอก แต่เราแก่เพราะว่าเราหยุดเล่น ที่จริงแล้ว
>มีเคล็ดลับสู่การที่จะยังหนุ่มสาวอยู่เสมอ มีความสุข และประสบความสำเร็จอยู่ 4
>ประการ
>
>1) You have to laugh and find humor every day.
>1.) พวกคุณจะต้องหัวเราะ และมีเรื่องสนุกๆ ขำขันทุกวัน
>
>2) You've got to have a dream. When you lose your dreams, you die. We have
>so many people walking around who are dead and don't even know it!
>2.) พวกคุณจะต้องมีความฝัน เมื่อไรก็ตามที่คุณสูญเสียความฝันของคุณไปคุณจะตาย
>มีคนมากมายที่ยังเดินไปเดินมาอยู่ทั้งๆที่ตายไปแล้ว
>และไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตายไปแล้ว..
>
>3) There is a huge difference between growing older and growing up. If you
>are nineteen years old and lie in bed for one full year and don't do one
>productive thing, you will turn twenty years old. If I am eighty-seven
>years old and stay in bed for a year and never do anything, I will
>turneighty-eight. Anybody can grow older. That doesn't take any talent
>orability. The idea is to grow up by always finding the opportunity in
>change.
>3.) การที่คุณ “แก่ขึ้น” กับ “เติบโตขึ้น” นั้นมันต่างกันมาก
>ถ้าคุณอายุสิบเก้าแล้วนอนอยู่บนเตียงเฉยๆ ปีหนึ่ง
>และไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ตลอดทั้งปี คุณก็จะอายุยี่สิบ
>ถ้าฉันอายุแปดสิบเจ็ด แล้วนอนเฉยๆไม่ทำอะไรเลยตลอดทั้งปี ฉันก็จะอายุ
>แปดสิบแปด ทุกๆ คนนั้นจะแก่ขึ้นทั้งนั้นไม่จำเป็นต้องอาศัยความสามารถอะไรเลย
>ประเด็นของการ “เติบโตขึ้น”นั้นอยู่ที่การแสวงหาโอกาสในการเปลี่ยนแปลง
>
>4) Have no regrets. The elderly usually don't have regrets for what we did,
>but rather for things we did not do. The only people who fear death are
>those with regrets."
>4.) อย่าทิ้งอะไรไว้ให้เสียใจภายหลัง คนสูงอายุส่วนใหญ่นั้น
>ไม่เสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไปแล้ว แต่มักจะเสียใจกับสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ
>มีแต่คนที่ยังมีสิ่งทีต้องเสียใจค้างอยู่เท่านั้น ที่กลัวความตายนั้น
>
>She concluded her speech by courageously inging "The Rose." She challenged
>each of us to study the lyrics and live them out in our daily lives.At the
>year's end Rose finished the college degree she had begun all those years
>ago.
>เธอจบการพูดของเธอด้วยการร้องเพลง “The Rose”
>อย่างกล้าหาญและเธอได้แนะให้พวกเราทุกคนศึกษาเนื้อร้องของเพลงนั้นและเอาความหมายเหล่านั้นมาใช้กับชีวิตประจำวันของพวกเรา
>เมื่อสิ้นปีการศึกษานั้นโรสได้รับปริญญาที่เธอได้เริ่มฝันไว้เมื่อนานมาแล้ว
>
>One week after graduation Rose died peacefully in her sleep. Over two
>thousand college students attended her funeral in tribute to the wonderful
>woman who taught by example that it's never too late to be all you can
>possibly be.
>หนึ่งสัปดาห์หลังจบการศึกษา โรสจากไปอย่างสงบ
>เธอนอนหลับไปและไม่ตื่นขึ้นอีกเลย
>นักศีกษากว่าสองพันคนไปร่วมพิธีศพของเธอเพื่อแสดงความเคาพบต่อหญิงชราผู้วิเศษ
>ผู้ได้สอนให้พวกเขาได้รู้ด้วยการทำให้เห็นเป็นตัวอย่างว่าไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะเป็นทุกสิ่งที่คุณสามารถเป็นได้
>
>When you finish reading this, please send this peaceful word of advice to
>your friends and family, they'll really enjoy it! These words havebeen
>passed along in loving memory of ROSE.
>เมื่อคุณอ่านเรื่องนี้จบลง
>กรุณาส่งคำแนะนำอันดีเยี่ยมนี้ต่อให้กับเพื่อนและครอบครัวของคุณ
>พวกเขาคงจะชอบมันเรื่องราวเหล่านี้ส่งต่อกันมาเพื่อระลึกถึงหญิงชราที่ชื่อ โรส
>
>REMEMBER, GROWING OLDER IS MANDATORY. GROWING UP IS OPTIONAL.
>จงจำไว้ว่า การแก่ขึ้นนั้น
>เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แต่การเติบโตขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่เราเลือกได้
>
>We make a Living by what we get, We make a Life by what we give.
>เราอยู่ได้ด้วยสิ่งที่เราได้รับ แต่เราจะมีชีวิตอยู่เพราะสิ่งที่เราให้ไป
>
>God promises a safe landing, not a calm passage
>พระเจ้าได้สัญญากับเราไว้ว่า เราจะสิ้นสุดชีวิตเราอย่างปลอดภัย
>แต่ไม่ได้สัญญาว่าทางเดินไปนั้นจะราบเรียบ
>
>If God brings you to it - He will bring you through it.
>หากพระเจ้าได้นำคุณมาสู่การมีชีวิตแล้ว ท่านจะนำพาคุณผ่านชีวิตไปให้ได้เสมอ
>
>Just Thinking
ป้ายกำกับ:
เคล็ดลับ น่ารู้
สิ่
สิ่งดีๆ ที่เราอยากให้มองสักครั้ง กับด้านดีๆ ของชีวิต
>
>The first day of school our professor introduced himself and challenged us
>to get to know someone we didn't already know. I stood up to look around
>when a gentle hand touched my shoulder. I turned around to find a wrinkled,
> little old lady beaming up at me with a smile that lit up her entire
>being.
>วันแรกที่พวกเราเริ่มการเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นอาจารย์ของเราได้เข้ามาแนะนำตัวและบอกให้พวกเราทำความรู้จักกับคนอื่นๆ
>ที่เราไม่รู้จักมาก่อน ผมยืนขึ้นแล้วมองไปรอบๆ
>และมีมือๆหนึ่งเอื้อมมาจับบ่าของผม ผมหันไปพบกับหญิงชราร่างเล็ก
>ผิวหนังเหี่ยวย่นที่ส่งรอยยิ้มอันเป็นประกายมาให้ผมรอยยิ้มนั้นทำให้เธอดูสดใสอย่างยิ่ง
>
>She said, "Hi handsome. My name is Rose. I'm eighty-seven years old. Can I
>give you a hug?" I laughed and enthusiastically responded, "Of course you
>may!" and she gave me a giant squeeze. "Why are you in college at such a
>young, innocent age?" I asked. She jokingly replied, "I'm here to meet a
>rich husband, get married, have a couple of kids..." "No seriously," I
>asked. I was curious what may have motivated her to be taking on this
>challenge at her age. "I always dreamed of having a college education and
>now I'm getting one!" she told me.
>หญิงชราคนนั้นกล่าวขึ้นว่า “สวัสดี รูปหล่อ ฉันชื่อโรส อายุแปดสิบเจ็ดแล้ว
>มาให้ฉันกอดสักทีสิ” ผมหัวเราะกับท่าทางของเธอ และตอบอย่างร่าเริงว่า “แน่นอน
>ได้สิครับ” แล้วเธอก็กอดผมอย่างแรง ผมถามเธอว่า
>“ทำไมคุณถึงมาเรียนมหาวิทยาลัยเอาตอนที่อายุน้อย และไร้เดียวสาอย่างนี้ละ..”
>เธอตอบด้วยเสียงปนหัวเราะว่า “ฉันมาหาสามีรวยๆ ที่ฉันจะได้แต่งงานด้วย
>แล้วมีลูกสักสองสามคน...” ผมขัดจังหวะเธอ โดยถามว่า “ไม่เอาครับ.. ถามจริงๆ”
>ผมสงสัยจริงๆ ว่าอะไรทำให้เธอมาเรียนที่นี่ตอนที่อายุขนาดนี้ และเธอตอบว่า
>“ฉันฝันมานานแล้ว ว่าฉันจะได้ปริญญา และตอนนี้
>ฉันก็กำลังจะได้ปริญญาที่ฉันฝัน”
>
>After class we walked to the student union building and shared a chocolate
>milkshake. We became instant friends. Every day for the next three months
>we would leave class together and talk nonstop. I was always mesmerized
>listening to this "time machine" as she shared her wisdom and experience
>with me.
>หลังเลิกเรียนวิชานั้น เราเดินไปที่อาคารสโมสรนักศึกษาด้วยกัน
>และนั่งกินชอคโกแลตปั่นด้วยกัน
>เรากลายเป็นเพื่อนกันในทันทีตลอดสามเดือนหลังจากนั้นเราจะออกจากชั้นเรียนพร้อมกันและจะไปนั่งคุยกันไม่หยุด
>ผมนั้นประหลาดใจเสมอเมื่อได้ฟัง “ยานเวลา” ลำนี้แบ่งปันความรู้
>และประสบการณ์ของเธอให้กับผม
>
>Over the course of the year, Rose became a campus icon and she easily made
>friends wherever she went. She loved to dress up and she reveled in the
>attention bestowed upon her from the other students. he was living it up.
>ตลอดปีนั้น
>โรสได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยของเราและเธอนั้นจะเป็นเพื่อนได้กับทุกคน
>ในทุกที่ที่เธอไป
>เธอรักที่จะแต่งตัวดีๆและดื่มด่ำอยู่กับความสนใจที่นักศึกษาคนอื่นๆ
>มีให้กับเธอ เธอได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่
>
>At the end of the semester we invited Rose to speak at our football
>banquet. I'll never forget what she taught us. She was introduced and
>stepped up to the podium. As she began to deliver her prepared speech, she
>dropped her three by five cards on the floor.
>เมื่อถึงตอนสิ้นสุดภาคการศึกษาเราได้เชิญโรสให้มาพูดที่งานเลี้ยงของทีมฟุตบอลของเรา
>ผมไม่เคยลืมเลย ว่าเธอได้สอนอะไรให้กับเรา พิธีกรแนะนำตัวเธอ
>และเธอก็เดินขึ้นมาที่แท่นตอนที่เธอกำลังเตรียมตัวที่จะพูดตามที่เธอตั้งใจนั้น
>เธอทำการ์ดที่บันทึกเรื่องที่เธอจะพูดตกพื้น
>
>Frustrated and a little embarrassed she leaned into the microphone and
>simply said, "I'm sorry I'm so jittery. I gave up beer for Lent and this
>whiskey is killing me! I'll never get my speech back in order so let me
>just tell you what I know.
>"เธอทั้งอาย ทั้งประหม่า แต่เธอโน้มตัวเข้าหาไมโครโฟนแล้วบอกว่า “ขอโทษด้วยนะ
>ที่ฉันซุ่มซ่าม ฉันเลิกกินเบียร์มาตั้งนานแล้ว แต่วิสกี้พวกนี้มันแรงจริงๆ..
>ฉันคงจะเอาบทของฉันมาเรียงใหม่ไม่ทันแล้วงั้นฉันก็คงได้แค่บอกเรื่องที่ฉันรู้ให้กับพวกคุณก็แล้วกัน”
>
>As we laughed she cleared her throat and began, "We do not stop playing
>because we are old; we grow old because we stop playing. There are only
>four secrets to staying young, being happy, and achieving success.
>พวกเราทุกคนหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง ตอนที่เธอเริ่มต้นว่า “พวกเราทุกคนนั้น
>ไม่ได้หยุดเล่น เพราะเราแก่หรอก แต่เราแก่เพราะว่าเราหยุดเล่น ที่จริงแล้ว
>มีเคล็ดลับสู่การที่จะยังหนุ่มสาวอยู่เสมอ มีความสุข และประสบความสำเร็จอยู่ 4
>ประการ
>
>1) You have to laugh and find humor every day.
>1.) พวกคุณจะต้องหัวเราะ และมีเรื่องสนุกๆ ขำขันทุกวัน
>
>2) You've got to have a dream. When you lose your dreams, you die. We have
>so many people walking around who are dead and don't even know it!
>2.) พวกคุณจะต้องมีความฝัน เมื่อไรก็ตามที่คุณสูญเสียความฝันของคุณไปคุณจะตาย
>มีคนมากมายที่ยังเดินไปเดินมาอยู่ทั้งๆที่ตายไปแล้ว
>และไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตายไปแล้ว..
>
>3) There is a huge difference between growing older and growing up. If you
>are nineteen years old and lie in bed for one full year and don't do one
>productive thing, you will turn twenty years old. If I am eighty-seven
>years old and stay in bed for a year and never do anything, I will
>turneighty-eight. Anybody can grow older. That doesn't take any talent
>orability. The idea is to grow up by always finding the opportunity in
>change.
>3.) การที่คุณ “แก่ขึ้น” กับ “เติบโตขึ้น” นั้นมันต่างกันมาก
>ถ้าคุณอายุสิบเก้าแล้วนอนอยู่บนเตียงเฉยๆ ปีหนึ่ง
>และไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ตลอดทั้งปี คุณก็จะอายุยี่สิบ
>ถ้าฉันอายุแปดสิบเจ็ด แล้วนอนเฉยๆไม่ทำอะไรเลยตลอดทั้งปี ฉันก็จะอายุ
>แปดสิบแปด ทุกๆ คนนั้นจะแก่ขึ้นทั้งนั้นไม่จำเป็นต้องอาศัยความสามารถอะไรเลย
>ประเด็นของการ “เติบโตขึ้น”นั้นอยู่ที่การแสวงหาโอกาสในการเปลี่ยนแปลง
>
>4) Have no regrets. The elderly usually don't have regrets for what we did,
>but rather for things we did not do. The only people who fear death are
>those with regrets."
>4.) อย่าทิ้งอะไรไว้ให้เสียใจภายหลัง คนสูงอายุส่วนใหญ่นั้น
>ไม่เสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไปแล้ว แต่มักจะเสียใจกับสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ
>มีแต่คนที่ยังมีสิ่งทีต้องเสียใจค้างอยู่เท่านั้น ที่กลัวความตายนั้น
>
>She concluded her speech by courageously inging "The Rose." She challenged
>each of us to study the lyrics and live them out in our daily lives.At the
>year's end Rose finished the college degree she had begun all those years
>ago.
>เธอจบการพูดของเธอด้วยการร้องเพลง “The Rose”
>อย่างกล้าหาญและเธอได้แนะให้พวกเราทุกคนศึกษาเนื้อร้องของเพลงนั้นและเอาความหมายเหล่านั้นมาใช้กับชีวิตประจำวันของพวกเรา
>เมื่อสิ้นปีการศึกษานั้นโรสได้รับปริญญาที่เธอได้เริ่มฝันไว้เมื่อนานมาแล้ว
>
>One week after graduation Rose died peacefully in her sleep. Over two
>thousand college students attended her funeral in tribute to the wonderful
>woman who taught by example that it's never too late to be all you can
>possibly be.
>หนึ่งสัปดาห์หลังจบการศึกษา โรสจากไปอย่างสงบ
>เธอนอนหลับไปและไม่ตื่นขึ้นอีกเลย
>นักศีกษากว่าสองพันคนไปร่วมพิธีศพของเธอเพื่อแสดงความเคาพบต่อหญิงชราผู้วิเศษ
>ผู้ได้สอนให้พวกเขาได้รู้ด้วยการทำให้เห็นเป็นตัวอย่างว่าไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะเป็นทุกสิ่งที่คุณสามารถเป็นได้
>
>When you finish reading this, please send this peaceful word of advice to
>your friends and family, they'll really enjoy it! These words havebeen
>passed along in loving memory of ROSE.
>เมื่อคุณอ่านเรื่องนี้จบลง
>กรุณาส่งคำแนะนำอันดีเยี่ยมนี้ต่อให้กับเพื่อนและครอบครัวของคุณ
>พวกเขาคงจะชอบมันเรื่องราวเหล่านี้ส่งต่อกันมาเพื่อระลึกถึงหญิงชราที่ชื่อ โรส
>
>REMEMBER, GROWING OLDER IS MANDATORY. GROWING UP IS OPTIONAL.
>จงจำไว้ว่า การแก่ขึ้นนั้น
>เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แต่การเติบโตขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่เราเลือกได้
>
>We make a Living by what we get, We make a Life by what we give.
>เราอยู่ได้ด้วยสิ่งที่เราได้รับ แต่เราจะมีชีวิตอยู่เพราะสิ่งที่เราให้ไป
>
>God promises a safe landing, not a calm passage
>พระเจ้าได้สัญญากับเราไว้ว่า เราจะสิ้นสุดชีวิตเราอย่างปลอดภัย
>แต่ไม่ได้สัญญาว่าทางเดินไปนั้นจะราบเรียบ
>
>If God brings you to it - He will bring you through it.
>หากพระเจ้าได้นำคุณมาสู่การมีชีวิตแล้ว ท่านจะนำพาคุณผ่านชีวิตไปให้ได้เสมอ
>
>Just Thinking
>
>The first day of school our professor introduced himself and challenged us
>to get to know someone we didn't already know. I stood up to look around
>when a gentle hand touched my shoulder. I turned around to find a wrinkled,
> little old lady beaming up at me with a smile that lit up her entire
>being.
>วันแรกที่พวกเราเริ่มการเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นอาจารย์ของเราได้เข้ามาแนะนำตัวและบอกให้พวกเราทำความรู้จักกับคนอื่นๆ
>ที่เราไม่รู้จักมาก่อน ผมยืนขึ้นแล้วมองไปรอบๆ
>และมีมือๆหนึ่งเอื้อมมาจับบ่าของผม ผมหันไปพบกับหญิงชราร่างเล็ก
>ผิวหนังเหี่ยวย่นที่ส่งรอยยิ้มอันเป็นประกายมาให้ผมรอยยิ้มนั้นทำให้เธอดูสดใสอย่างยิ่ง
>
>She said, "Hi handsome. My name is Rose. I'm eighty-seven years old. Can I
>give you a hug?" I laughed and enthusiastically responded, "Of course you
>may!" and she gave me a giant squeeze. "Why are you in college at such a
>young, innocent age?" I asked. She jokingly replied, "I'm here to meet a
>rich husband, get married, have a couple of kids..." "No seriously," I
>asked. I was curious what may have motivated her to be taking on this
>challenge at her age. "I always dreamed of having a college education and
>now I'm getting one!" she told me.
>หญิงชราคนนั้นกล่าวขึ้นว่า “สวัสดี รูปหล่อ ฉันชื่อโรส อายุแปดสิบเจ็ดแล้ว
>มาให้ฉันกอดสักทีสิ” ผมหัวเราะกับท่าทางของเธอ และตอบอย่างร่าเริงว่า “แน่นอน
>ได้สิครับ” แล้วเธอก็กอดผมอย่างแรง ผมถามเธอว่า
>“ทำไมคุณถึงมาเรียนมหาวิทยาลัยเอาตอนที่อายุน้อย และไร้เดียวสาอย่างนี้ละ..”
>เธอตอบด้วยเสียงปนหัวเราะว่า “ฉันมาหาสามีรวยๆ ที่ฉันจะได้แต่งงานด้วย
>แล้วมีลูกสักสองสามคน...” ผมขัดจังหวะเธอ โดยถามว่า “ไม่เอาครับ.. ถามจริงๆ”
>ผมสงสัยจริงๆ ว่าอะไรทำให้เธอมาเรียนที่นี่ตอนที่อายุขนาดนี้ และเธอตอบว่า
>“ฉันฝันมานานแล้ว ว่าฉันจะได้ปริญญา และตอนนี้
>ฉันก็กำลังจะได้ปริญญาที่ฉันฝัน”
>
>After class we walked to the student union building and shared a chocolate
>milkshake. We became instant friends. Every day for the next three months
>we would leave class together and talk nonstop. I was always mesmerized
>listening to this "time machine" as she shared her wisdom and experience
>with me.
>หลังเลิกเรียนวิชานั้น เราเดินไปที่อาคารสโมสรนักศึกษาด้วยกัน
>และนั่งกินชอคโกแลตปั่นด้วยกัน
>เรากลายเป็นเพื่อนกันในทันทีตลอดสามเดือนหลังจากนั้นเราจะออกจากชั้นเรียนพร้อมกันและจะไปนั่งคุยกันไม่หยุด
>ผมนั้นประหลาดใจเสมอเมื่อได้ฟัง “ยานเวลา” ลำนี้แบ่งปันความรู้
>และประสบการณ์ของเธอให้กับผม
>
>Over the course of the year, Rose became a campus icon and she easily made
>friends wherever she went. She loved to dress up and she reveled in the
>attention bestowed upon her from the other students. he was living it up.
>ตลอดปีนั้น
>โรสได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยของเราและเธอนั้นจะเป็นเพื่อนได้กับทุกคน
>ในทุกที่ที่เธอไป
>เธอรักที่จะแต่งตัวดีๆและดื่มด่ำอยู่กับความสนใจที่นักศึกษาคนอื่นๆ
>มีให้กับเธอ เธอได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่
>
>At the end of the semester we invited Rose to speak at our football
>banquet. I'll never forget what she taught us. She was introduced and
>stepped up to the podium. As she began to deliver her prepared speech, she
>dropped her three by five cards on the floor.
>เมื่อถึงตอนสิ้นสุดภาคการศึกษาเราได้เชิญโรสให้มาพูดที่งานเลี้ยงของทีมฟุตบอลของเรา
>ผมไม่เคยลืมเลย ว่าเธอได้สอนอะไรให้กับเรา พิธีกรแนะนำตัวเธอ
>และเธอก็เดินขึ้นมาที่แท่นตอนที่เธอกำลังเตรียมตัวที่จะพูดตามที่เธอตั้งใจนั้น
>เธอทำการ์ดที่บันทึกเรื่องที่เธอจะพูดตกพื้น
>
>Frustrated and a little embarrassed she leaned into the microphone and
>simply said, "I'm sorry I'm so jittery. I gave up beer for Lent and this
>whiskey is killing me! I'll never get my speech back in order so let me
>just tell you what I know.
>"เธอทั้งอาย ทั้งประหม่า แต่เธอโน้มตัวเข้าหาไมโครโฟนแล้วบอกว่า “ขอโทษด้วยนะ
>ที่ฉันซุ่มซ่าม ฉันเลิกกินเบียร์มาตั้งนานแล้ว แต่วิสกี้พวกนี้มันแรงจริงๆ..
>ฉันคงจะเอาบทของฉันมาเรียงใหม่ไม่ทันแล้วงั้นฉันก็คงได้แค่บอกเรื่องที่ฉันรู้ให้กับพวกคุณก็แล้วกัน”
>
>As we laughed she cleared her throat and began, "We do not stop playing
>because we are old; we grow old because we stop playing. There are only
>four secrets to staying young, being happy, and achieving success.
>พวกเราทุกคนหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง ตอนที่เธอเริ่มต้นว่า “พวกเราทุกคนนั้น
>ไม่ได้หยุดเล่น เพราะเราแก่หรอก แต่เราแก่เพราะว่าเราหยุดเล่น ที่จริงแล้ว
>มีเคล็ดลับสู่การที่จะยังหนุ่มสาวอยู่เสมอ มีความสุข และประสบความสำเร็จอยู่ 4
>ประการ
>
>1) You have to laugh and find humor every day.
>1.) พวกคุณจะต้องหัวเราะ และมีเรื่องสนุกๆ ขำขันทุกวัน
>
>2) You've got to have a dream. When you lose your dreams, you die. We have
>so many people walking around who are dead and don't even know it!
>2.) พวกคุณจะต้องมีความฝัน เมื่อไรก็ตามที่คุณสูญเสียความฝันของคุณไปคุณจะตาย
>มีคนมากมายที่ยังเดินไปเดินมาอยู่ทั้งๆที่ตายไปแล้ว
>และไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตายไปแล้ว..
>
>3) There is a huge difference between growing older and growing up. If you
>are nineteen years old and lie in bed for one full year and don't do one
>productive thing, you will turn twenty years old. If I am eighty-seven
>years old and stay in bed for a year and never do anything, I will
>turneighty-eight. Anybody can grow older. That doesn't take any talent
>orability. The idea is to grow up by always finding the opportunity in
>change.
>3.) การที่คุณ “แก่ขึ้น” กับ “เติบโตขึ้น” นั้นมันต่างกันมาก
>ถ้าคุณอายุสิบเก้าแล้วนอนอยู่บนเตียงเฉยๆ ปีหนึ่ง
>และไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ตลอดทั้งปี คุณก็จะอายุยี่สิบ
>ถ้าฉันอายุแปดสิบเจ็ด แล้วนอนเฉยๆไม่ทำอะไรเลยตลอดทั้งปี ฉันก็จะอายุ
>แปดสิบแปด ทุกๆ คนนั้นจะแก่ขึ้นทั้งนั้นไม่จำเป็นต้องอาศัยความสามารถอะไรเลย
>ประเด็นของการ “เติบโตขึ้น”นั้นอยู่ที่การแสวงหาโอกาสในการเปลี่ยนแปลง
>
>4) Have no regrets. The elderly usually don't have regrets for what we did,
>but rather for things we did not do. The only people who fear death are
>those with regrets."
>4.) อย่าทิ้งอะไรไว้ให้เสียใจภายหลัง คนสูงอายุส่วนใหญ่นั้น
>ไม่เสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไปแล้ว แต่มักจะเสียใจกับสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ
>มีแต่คนที่ยังมีสิ่งทีต้องเสียใจค้างอยู่เท่านั้น ที่กลัวความตายนั้น
>
>She concluded her speech by courageously inging "The Rose." She challenged
>each of us to study the lyrics and live them out in our daily lives.At the
>year's end Rose finished the college degree she had begun all those years
>ago.
>เธอจบการพูดของเธอด้วยการร้องเพลง “The Rose”
>อย่างกล้าหาญและเธอได้แนะให้พวกเราทุกคนศึกษาเนื้อร้องของเพลงนั้นและเอาความหมายเหล่านั้นมาใช้กับชีวิตประจำวันของพวกเรา
>เมื่อสิ้นปีการศึกษานั้นโรสได้รับปริญญาที่เธอได้เริ่มฝันไว้เมื่อนานมาแล้ว
>
>One week after graduation Rose died peacefully in her sleep. Over two
>thousand college students attended her funeral in tribute to the wonderful
>woman who taught by example that it's never too late to be all you can
>possibly be.
>หนึ่งสัปดาห์หลังจบการศึกษา โรสจากไปอย่างสงบ
>เธอนอนหลับไปและไม่ตื่นขึ้นอีกเลย
>นักศีกษากว่าสองพันคนไปร่วมพิธีศพของเธอเพื่อแสดงความเคาพบต่อหญิงชราผู้วิเศษ
>ผู้ได้สอนให้พวกเขาได้รู้ด้วยการทำให้เห็นเป็นตัวอย่างว่าไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะเป็นทุกสิ่งที่คุณสามารถเป็นได้
>
>When you finish reading this, please send this peaceful word of advice to
>your friends and family, they'll really enjoy it! These words havebeen
>passed along in loving memory of ROSE.
>เมื่อคุณอ่านเรื่องนี้จบลง
>กรุณาส่งคำแนะนำอันดีเยี่ยมนี้ต่อให้กับเพื่อนและครอบครัวของคุณ
>พวกเขาคงจะชอบมันเรื่องราวเหล่านี้ส่งต่อกันมาเพื่อระลึกถึงหญิงชราที่ชื่อ โรส
>
>REMEMBER, GROWING OLDER IS MANDATORY. GROWING UP IS OPTIONAL.
>จงจำไว้ว่า การแก่ขึ้นนั้น
>เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แต่การเติบโตขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่เราเลือกได้
>
>We make a Living by what we get, We make a Life by what we give.
>เราอยู่ได้ด้วยสิ่งที่เราได้รับ แต่เราจะมีชีวิตอยู่เพราะสิ่งที่เราให้ไป
>
>God promises a safe landing, not a calm passage
>พระเจ้าได้สัญญากับเราไว้ว่า เราจะสิ้นสุดชีวิตเราอย่างปลอดภัย
>แต่ไม่ได้สัญญาว่าทางเดินไปนั้นจะราบเรียบ
>
>If God brings you to it - He will bring you through it.
>หากพระเจ้าได้นำคุณมาสู่การมีชีวิตแล้ว ท่านจะนำพาคุณผ่านชีวิตไปให้ได้เสมอ
>
>Just Thinking
365 วัน กับ ความรัก
เด็กผู้หญิงคนหนึ่งนั่งเหงาอยู่ริมหน้าต่าง เธอมองดูกระถางต้นไม้ที่แห้งเฉา
ดินแตกระแหง แต่ยังมีเมล็ดพืชงอกงามอยู่ในนั้น
เธอเก็บเมล็ดพืชนั้นมาด้วยความสงสัย...อยากรู้ว่ามันงอกขึ้นมาได้อย่างไร?
...วันที่ 1 เธอนำเมล็ดพืชนั้นมาปลูกในกระถางใบใหม่..รอคอยวันที่มันจะเติบโต
เธออยากเห็นเมล็ดพืชโตเร็วจึงรดน้ำ จนล้นกระถาง..
...วันที่ 2 เธอเฝ้าดูการเจริญเติบโตของเมล็ดพืชนั้น..ทันใดนั้นก้อมีปลาทองออกมาจากเมล็ดนั้น
เด็กหญิงเอาปลาทองใส่ไว้ในโหลและคิดว่าคงรดน้ำมากเกินไปจึงเอากระถางไปใส่ไว้ในเตาอบและเฝ้าดู
...วันที่ 3 เธอเปิดเตาอบออกดูเห็นลูกไก่เดินอยู่ในนั้น มันมองมาที่เธอและเดินตามเธอตลอดเวลา
เด็กหญิงมีความคิดว่าควรจะใส่ปุ๋ยให้มันและเริ่มเทปุ๋ยจนหมดถุง และ..รอ
...วันที่ 4 มีริบบิ้นสีแดงออกมาจากเมล็ด เธอดีใจมากนำริบบิ้นมาผูกให้กับลูกไก่ แต่ละวันเด็กผู้หญิงจะเฝ้ารอดูว่า
จะมีอะรัยออกมาจากเมล็ดพืชอีก เธอมีความสุขกับการได้ดูแลเมล็ดพืช รดน้ำ พรวนดิน ให้แสงแดด
....วันที่ 30 เด็กหญิงเบื่อที่จะรดน้ำ และดูแลต้นไม้ ไม! ่ตื่นเต้นกับสิ่งที่จะออกมาจากเมล็ดพืชนั้นเหมือนแต่ก่อน
..ต้นไม้เริ่มแห้งเฉาใบไม้เริ่มเป็นสีเหลือง ไม่มีอะรัยออกมาจากเมล็ดพืชอีก..
...วันที่ 180 ใบไม้เริ่มแห้งกรอบ ดินเริ่มแตกแยกเหมือนครั้งแรกที่เด็กหญิงเจอมัน..เธอเศร้าเสียใจอย่างมาก
....วันที่ 250 เด็กหญิงรดน้ำในปริมาณที่พอเหมาะ...เธอมีความหวังที่จะได้พบสิ่งที่ทำให้ประหลาดใจอย่างที่เคยเป็น
...วันที่ 251 เธอนำกระถางมารับแสงแดดอ่อนๆตอนเช้าด้วยใจที่เบิกบานและเต็มไปด้วยความหวัง
...วันที่ 252 เธอใส่ปุ๋ยและพรวนดินให้ต้นไม้ มีลูกไก่ที่ผูกริบบิ้นสีแดงและปลาทองในโหลอยู่ใกล้ๆ
...วันที่ 300 การเอาใจใส่ ดูแลอย่างใกล้ชิดของเธอทำให้ต้นไม้กลับมาออกใบเขียวชอุ่ม
..และที่น่าประหลาดใจคือ เมล็ดพืชกลายเป็นดอกสีขาวเล็กๆรูปร่างคล้ายหัวใจ เด็กหญิงตื่นเต้นดีใจกว่าทุกครั้ง
...วันที่ 340 เธอร้องเพลงและพูดคุยกับดอกไม้สีขาวนั้นทุกเวลาที่ว่าง
เธอรู้สึกมีความสุขมาก..ที่ได้คอยเอาใจใส่โดยลืมไปสนิทว่ามันจะกลายเป็นอะรัยต่อไป
..เด็กหญิงไม่คาดหวังให้ดอกไม้กลายเป็นสิ่งใด เธอทนุถนอมและดูแลมันอย่างดีที่สุด
...วันที่ 36! 5 เด็กหญิงนั่งอยู่ริมหน้าต่าง กระถางตรงหน้าเธอไม่มีดอกไม้สีขาวรูปหัวใจอีกแล้ว
ดอกไม้ที่เธอเฝ้าดูแลหายไป!! ...แต่เธอไม่เศร้า ไม่เสียใจ ไม่ร้องไห้ เพราะเด็กผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ริมหน้าต่าง
เขาสามารถพูดคุยกับเธอ ยิ้มให้เธอ ไปทุกที่กับเธอ เข้าใจเธอ และเธอก็ไม่เคยเหงาอีกเลย......
** คุณรู้หรือยังว่าดอกไม้สีขาวรูปหัวใจกลายเป็นอะรัย **
เด็กผู้หญิงใช้เวลา 1 ปี ในการเรียนรู้เรื่องความรัก เธอเรียนรู้ว่า
// เมื่อเธอรดน้ำมากๆไม่ได้แปลว่ามันจะเจริญเติบโตเร็ว มันอาจกลายเป็นสิ่งที่เธอคิดไม่ถึง
// การเอาใจใส่กันเป็นสิ่งที่ช่วยหล่อเลี้ยงให้ความรักคงอยู่ต่อไป
// การรอคอยเมื่อครั้งแรกเต็มไปด้วยความตื่นเต้นแต่นานเข้าจะกลายเป็นความท้อแท้และเบื่อหน่าย
// ถึงเรายอมรับที่จะสูญเสียแต่ไม่มีทางหนีจากความเจ็บปวดได้
// ไม่มีคำว่าสาย สำหรับความรัก เราเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
// การที่เราคาดหวังกับความรักมากเท่าไรเมื่อไม่เป็นอย่างที่หวังเราจะยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น
ดินแตกระแหง แต่ยังมีเมล็ดพืชงอกงามอยู่ในนั้น
เธอเก็บเมล็ดพืชนั้นมาด้วยความสงสัย...อยากรู้ว่ามันงอกขึ้นมาได้อย่างไร?
...วันที่ 1 เธอนำเมล็ดพืชนั้นมาปลูกในกระถางใบใหม่..รอคอยวันที่มันจะเติบโต
เธออยากเห็นเมล็ดพืชโตเร็วจึงรดน้ำ จนล้นกระถาง..
...วันที่ 2 เธอเฝ้าดูการเจริญเติบโตของเมล็ดพืชนั้น..ทันใดนั้นก้อมีปลาทองออกมาจากเมล็ดนั้น
เด็กหญิงเอาปลาทองใส่ไว้ในโหลและคิดว่าคงรดน้ำมากเกินไปจึงเอากระถางไปใส่ไว้ในเตาอบและเฝ้าดู
...วันที่ 3 เธอเปิดเตาอบออกดูเห็นลูกไก่เดินอยู่ในนั้น มันมองมาที่เธอและเดินตามเธอตลอดเวลา
เด็กหญิงมีความคิดว่าควรจะใส่ปุ๋ยให้มันและเริ่มเทปุ๋ยจนหมดถุง และ..รอ
...วันที่ 4 มีริบบิ้นสีแดงออกมาจากเมล็ด เธอดีใจมากนำริบบิ้นมาผูกให้กับลูกไก่ แต่ละวันเด็กผู้หญิงจะเฝ้ารอดูว่า
จะมีอะรัยออกมาจากเมล็ดพืชอีก เธอมีความสุขกับการได้ดูแลเมล็ดพืช รดน้ำ พรวนดิน ให้แสงแดด
....วันที่ 30 เด็กหญิงเบื่อที่จะรดน้ำ และดูแลต้นไม้ ไม! ่ตื่นเต้นกับสิ่งที่จะออกมาจากเมล็ดพืชนั้นเหมือนแต่ก่อน
..ต้นไม้เริ่มแห้งเฉาใบไม้เริ่มเป็นสีเหลือง ไม่มีอะรัยออกมาจากเมล็ดพืชอีก..
...วันที่ 180 ใบไม้เริ่มแห้งกรอบ ดินเริ่มแตกแยกเหมือนครั้งแรกที่เด็กหญิงเจอมัน..เธอเศร้าเสียใจอย่างมาก
....วันที่ 250 เด็กหญิงรดน้ำในปริมาณที่พอเหมาะ...เธอมีความหวังที่จะได้พบสิ่งที่ทำให้ประหลาดใจอย่างที่เคยเป็น
...วันที่ 251 เธอนำกระถางมารับแสงแดดอ่อนๆตอนเช้าด้วยใจที่เบิกบานและเต็มไปด้วยความหวัง
...วันที่ 252 เธอใส่ปุ๋ยและพรวนดินให้ต้นไม้ มีลูกไก่ที่ผูกริบบิ้นสีแดงและปลาทองในโหลอยู่ใกล้ๆ
...วันที่ 300 การเอาใจใส่ ดูแลอย่างใกล้ชิดของเธอทำให้ต้นไม้กลับมาออกใบเขียวชอุ่ม
..และที่น่าประหลาดใจคือ เมล็ดพืชกลายเป็นดอกสีขาวเล็กๆรูปร่างคล้ายหัวใจ เด็กหญิงตื่นเต้นดีใจกว่าทุกครั้ง
...วันที่ 340 เธอร้องเพลงและพูดคุยกับดอกไม้สีขาวนั้นทุกเวลาที่ว่าง
เธอรู้สึกมีความสุขมาก..ที่ได้คอยเอาใจใส่โดยลืมไปสนิทว่ามันจะกลายเป็นอะรัยต่อไป
..เด็กหญิงไม่คาดหวังให้ดอกไม้กลายเป็นสิ่งใด เธอทนุถนอมและดูแลมันอย่างดีที่สุด
...วันที่ 36! 5 เด็กหญิงนั่งอยู่ริมหน้าต่าง กระถางตรงหน้าเธอไม่มีดอกไม้สีขาวรูปหัวใจอีกแล้ว
ดอกไม้ที่เธอเฝ้าดูแลหายไป!! ...แต่เธอไม่เศร้า ไม่เสียใจ ไม่ร้องไห้ เพราะเด็กผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ริมหน้าต่าง
เขาสามารถพูดคุยกับเธอ ยิ้มให้เธอ ไปทุกที่กับเธอ เข้าใจเธอ และเธอก็ไม่เคยเหงาอีกเลย......
** คุณรู้หรือยังว่าดอกไม้สีขาวรูปหัวใจกลายเป็นอะรัย **
เด็กผู้หญิงใช้เวลา 1 ปี ในการเรียนรู้เรื่องความรัก เธอเรียนรู้ว่า
// เมื่อเธอรดน้ำมากๆไม่ได้แปลว่ามันจะเจริญเติบโตเร็ว มันอาจกลายเป็นสิ่งที่เธอคิดไม่ถึง
// การเอาใจใส่กันเป็นสิ่งที่ช่วยหล่อเลี้ยงให้ความรักคงอยู่ต่อไป
// การรอคอยเมื่อครั้งแรกเต็มไปด้วยความตื่นเต้นแต่นานเข้าจะกลายเป็นความท้อแท้และเบื่อหน่าย
// ถึงเรายอมรับที่จะสูญเสียแต่ไม่มีทางหนีจากความเจ็บปวดได้
// ไม่มีคำว่าสาย สำหรับความรัก เราเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
// การที่เราคาดหวังกับความรักมากเท่าไรเมื่อไม่เป็นอย่างที่หวังเราจะยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น
มองข้าม
เ ค ย คิ ด มั๊ ย ? ว่ า อ น า ค ต ข อ ง ตั ว เ อ ง..
จ ะ เ ป็ น อ ย่ า ง ไ ร ...
ไ ม่ รู้ สิ น ะ เ ร า คิ ด ว่ า โ ล ก นี้ ไ ม่ มี อ ะ ไ ร แ น่ น อ น...
ค น เ ร า มี ห ล า ย ด้ า น ... ด้ า น ดำ ด้ า น ข า ว ...
จ ะ ต้ อ ง เ ลื อ ก ว่ า เ ร า จ ะ เ อ า ด้ า น ไ ห น อ อ ก ม า...
ทำ ปั จ จุ บั น ใ ห้ ดี ที่ สุ ด
เ พ ร า ะ อ ดี ต แ ก้ ไ ข อ ะ ไ ร ไ ม่ ไ ด้ อี ก แ ล้ ว ...
อ ย่ า ทิ้ ง หั ว ใ จ ข อ ง คุ ณ ไ ว้ กั บ อ ดี ต...
อ ย่ า คิ ด ว่ า อ ดี ต ไ ม่ มี วั น ห ว น คื น ...
อ ย่ า คิ ด ว่ า ไ ม่ มี พ รุ่ ง นี้...
อ ย่ า ลื ม บ ท เ รี ย น ข อ ง เ มื่ อ ว า น...
ทุ ก ชี วิ ต ยั ง มี ค ว า ม ห วั ง อ ยู่ เ ส ม อ...
จ ง ป ล่ อ ย ใ ห้ ชี วิ ต ดำ เ นิ น ต่ อ ไ ป ...
วั น ห นึ่ ง ถ้ า ชี วิ ต ห ว น คื น ม า สู่ ท า ง ส า ย เ ก่ า ...
ที่ เ ค ย ทำ ใ ห้ คุ ณ มี ค ว า ม สุ ข ...
ร ะ ห ว่ า ง เ ดิ น ท า ง ใ น แ ต่ ล ะ ก้ าว...
จ ง อ ย่ า เ ดิ น เ ลี่ ย ง มั น ไ ป อี ก..
น้ อ ย นั ก ที่ ถ น น ส า ย เ ดิ ม ยั ง ค ง ส ภ า พ เ ดิ ม..
เ พื่ อ ร อ ใ ห้ คุ ณ เ ดิ น ย้ อ น ก ลั บ ม า ...
ล อ ง เ ดิ น ต่ อ ไ ป สิ...
บ า ง ที คุ ณ อ า จ จ ะ เ จ อ จุ ด ห ม า ย...
ที่ คุ ณ ค้ น ห า ม า ต ล อ ด ชี วิ ต....
ใ น เ ส้ น ท า ง ที่ คุ ณ เ ค ย เ ดิ น เ ลี่ ย ง มั น ไ ป ก็ ไ ด้
จ ะ เ ป็ น อ ย่ า ง ไ ร ...
ไ ม่ รู้ สิ น ะ เ ร า คิ ด ว่ า โ ล ก นี้ ไ ม่ มี อ ะ ไ ร แ น่ น อ น...
ค น เ ร า มี ห ล า ย ด้ า น ... ด้ า น ดำ ด้ า น ข า ว ...
จ ะ ต้ อ ง เ ลื อ ก ว่ า เ ร า จ ะ เ อ า ด้ า น ไ ห น อ อ ก ม า...
ทำ ปั จ จุ บั น ใ ห้ ดี ที่ สุ ด
เ พ ร า ะ อ ดี ต แ ก้ ไ ข อ ะ ไ ร ไ ม่ ไ ด้ อี ก แ ล้ ว ...
อ ย่ า ทิ้ ง หั ว ใ จ ข อ ง คุ ณ ไ ว้ กั บ อ ดี ต...
อ ย่ า คิ ด ว่ า อ ดี ต ไ ม่ มี วั น ห ว น คื น ...
อ ย่ า คิ ด ว่ า ไ ม่ มี พ รุ่ ง นี้...
อ ย่ า ลื ม บ ท เ รี ย น ข อ ง เ มื่ อ ว า น...
ทุ ก ชี วิ ต ยั ง มี ค ว า ม ห วั ง อ ยู่ เ ส ม อ...
จ ง ป ล่ อ ย ใ ห้ ชี วิ ต ดำ เ นิ น ต่ อ ไ ป ...
วั น ห นึ่ ง ถ้ า ชี วิ ต ห ว น คื น ม า สู่ ท า ง ส า ย เ ก่ า ...
ที่ เ ค ย ทำ ใ ห้ คุ ณ มี ค ว า ม สุ ข ...
ร ะ ห ว่ า ง เ ดิ น ท า ง ใ น แ ต่ ล ะ ก้ าว...
จ ง อ ย่ า เ ดิ น เ ลี่ ย ง มั น ไ ป อี ก..
น้ อ ย นั ก ที่ ถ น น ส า ย เ ดิ ม ยั ง ค ง ส ภ า พ เ ดิ ม..
เ พื่ อ ร อ ใ ห้ คุ ณ เ ดิ น ย้ อ น ก ลั บ ม า ...
ล อ ง เ ดิ น ต่ อ ไ ป สิ...
บ า ง ที คุ ณ อ า จ จ ะ เ จ อ จุ ด ห ม า ย...
ที่ คุ ณ ค้ น ห า ม า ต ล อ ด ชี วิ ต....
ใ น เ ส้ น ท า ง ที่ คุ ณ เ ค ย เ ดิ น เ ลี่ ย ง มั น ไ ป ก็ ไ ด้
ป้ายกำกับ:
Stories reminder
50 กฎของคนรักกัน
ถ้าคุณต้องการจะอ่าน ต้องอ่านมันให้จบแล้วคุณจะมีความสุข
หากคุณอ่านไม่จบคุณจะ......
1.ดูพระอาทิดตกดินด้วยกัน
2. กระซิบถึงกันและกัน
3. ทำอาหารให้กัน
4. เดินท่ามกลางฝนตก
5. จับมือ
6. ซื้อของขวัญให้กัน
7. ดอกกุหลาบ
8. ถามว่าน้ำหอมสุดโปรดคือกลิ่นไหน และใช้ทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน
9. เดินริมทะเลตอนเที่ยงคืนด้วยกัน
10. เขียนกลอนให้กัน
11. การกอดคือยาที่ดีที่สุด
12. พูดว่า"รักเธอ" ตอนที่รู้สึกว่ารักจิงๆ และทำให้เค้ารู้ว่าเรารู้สึกรักจิงๆ
13. ให้ของขวัญเล็กๆ ดอกไม้/ลูกอม/กลอน
14. บอกเธอ/เขา ว่าเธอ/เขา คือผู้หญิง/ผู้ชาย ที่คุณต้องการมากที่สุด
15. อยู่ด้วยกันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
16. มองตากันและกัน.
17. (เฉพาะผู้ชาย) ดันคางเธอขึ้นเบาๆ มองตาเธอ บอกว่ารักเธอมากที่สุด
และจูบเธอเบาๆ "เบาๆ" ล่ะ
18. ในที่สาธารนะชน แค่จีบกันเฉยๆ อย่าทำอย่างอื่น
19. ใส่จดหมายรักในกระเป๋าเขา/เธอ เมื่อเธอ/เขาไม่เห็น
20. ซื้อแหวนให้เธอ (เฉพาะผู้ชาย)
21. ร้องเพลงให้กันและกัน
22. (เฉพาะผู้ชาย) โอบกอดเทอตรงสะโพกเสมอ
23. พาไปกินข้าว 2 ต่อ 2
24. กินสปาเก็ตตี้ (เคยดูเรื่องทรามวัยกับไอ้ตูบมั๊ย)
25. (เฉพาะผู้ชาย)จับมือเธอ มองตาเธอ จูบมือเธอแล้ววางไว้บนหัวใจ
26. เต้นด้วยกัน
27. (เฉพาะผู้หญิง) เวลาอยู่ด้วยกัน นอนตักเขา
28. ทำเรื่องน่ารักๆ เช่น เขียนว่า "ฉันรักเธอ" ในสมุดโน้ต
29. หาเรื่องมาเรียกเธอ/เขา ทุกๆ5นาที
30. ไม่ว่าจะยุ่งขนาดไหน โทรไปหาเขา/เธอ และบอกว่า"ฉันรักเธอ"
31. โทรจากสถานที่ๆคุณไปเที่ยวและบอกว่าคุณคิดถึงเขา/เธอ เสมอ
32. จำฝันของคุณและเล่าให้เขา/เธอ ฟัง
33. บอกความกลัวและความลับสุดยอดของคุณให้เธอ/เขา ฟัง
34. ทำดีกับพ่อแม่ของเธอ/เขา
35. (เฉพาะผู้ชาย) ลูบผมออกจากใบหน้าของเธอเบาๆ "เบาๆ" ล่ะ
36. ไปเที่ยวกับเพื่อนของเธอ/เขา
37. ไปวัด/อธิษฐาน/สาบาน ด้วยกัน
38. พาไปดูหนังโรแมนติคและจำส่วนที่เธอ/เขาชอบ
39. เรียนรู้กันและกัน และอย่าทำผิดแบบเดิมเกิน2ครั้ง
40. บอกว่าคุณรู้สึกดียังไงที่ได้อยู่กับเธอ/เขา
41. เสียสละให้กันและกัน
42. รักกันมากๆ ถ้าไม่อย่างนั้นก้อเลิกกันไปเลย
43. ทำให้ไม่มีนาทีไหนที่คุณไม่คิดถึงเขา/เธอ
44. รักตัวเองก่อนที่จะไปรักใคร
45. หัดพูดคำหวานๆในภาษาอื่น
46. ขอเพลงให้เขา/เธอ ในวิทยุ
47. หลับคาโทรศัพท์ด้วยกัน
48. ปกป้องเธอ/เขา เมื่อคนอื่นพูดอะไรไม่ดีต่อเขา/เธอ
49. ห้ามลืมการจูบ good night และพูดว่า"ฝันดีนะ" เสมอ
50.และสุดท้ายต้องขอขอบคุณที่โลกสร้างเธอ/เขาขึ้นมา
หากคุณอ่านไม่จบคุณจะ......
1.ดูพระอาทิดตกดินด้วยกัน
2. กระซิบถึงกันและกัน
3. ทำอาหารให้กัน
4. เดินท่ามกลางฝนตก
5. จับมือ
6. ซื้อของขวัญให้กัน
7. ดอกกุหลาบ
8. ถามว่าน้ำหอมสุดโปรดคือกลิ่นไหน และใช้ทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน
9. เดินริมทะเลตอนเที่ยงคืนด้วยกัน
10. เขียนกลอนให้กัน
11. การกอดคือยาที่ดีที่สุด
12. พูดว่า"รักเธอ" ตอนที่รู้สึกว่ารักจิงๆ และทำให้เค้ารู้ว่าเรารู้สึกรักจิงๆ
13. ให้ของขวัญเล็กๆ ดอกไม้/ลูกอม/กลอน
14. บอกเธอ/เขา ว่าเธอ/เขา คือผู้หญิง/ผู้ชาย ที่คุณต้องการมากที่สุด
15. อยู่ด้วยกันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
16. มองตากันและกัน.
17. (เฉพาะผู้ชาย) ดันคางเธอขึ้นเบาๆ มองตาเธอ บอกว่ารักเธอมากที่สุด
และจูบเธอเบาๆ "เบาๆ" ล่ะ
18. ในที่สาธารนะชน แค่จีบกันเฉยๆ อย่าทำอย่างอื่น
19. ใส่จดหมายรักในกระเป๋าเขา/เธอ เมื่อเธอ/เขาไม่เห็น
20. ซื้อแหวนให้เธอ (เฉพาะผู้ชาย)
21. ร้องเพลงให้กันและกัน
22. (เฉพาะผู้ชาย) โอบกอดเทอตรงสะโพกเสมอ
23. พาไปกินข้าว 2 ต่อ 2
24. กินสปาเก็ตตี้ (เคยดูเรื่องทรามวัยกับไอ้ตูบมั๊ย)
25. (เฉพาะผู้ชาย)จับมือเธอ มองตาเธอ จูบมือเธอแล้ววางไว้บนหัวใจ
26. เต้นด้วยกัน
27. (เฉพาะผู้หญิง) เวลาอยู่ด้วยกัน นอนตักเขา
28. ทำเรื่องน่ารักๆ เช่น เขียนว่า "ฉันรักเธอ" ในสมุดโน้ต
29. หาเรื่องมาเรียกเธอ/เขา ทุกๆ5นาที
30. ไม่ว่าจะยุ่งขนาดไหน โทรไปหาเขา/เธอ และบอกว่า"ฉันรักเธอ"
31. โทรจากสถานที่ๆคุณไปเที่ยวและบอกว่าคุณคิดถึงเขา/เธอ เสมอ
32. จำฝันของคุณและเล่าให้เขา/เธอ ฟัง
33. บอกความกลัวและความลับสุดยอดของคุณให้เธอ/เขา ฟัง
34. ทำดีกับพ่อแม่ของเธอ/เขา
35. (เฉพาะผู้ชาย) ลูบผมออกจากใบหน้าของเธอเบาๆ "เบาๆ" ล่ะ
36. ไปเที่ยวกับเพื่อนของเธอ/เขา
37. ไปวัด/อธิษฐาน/สาบาน ด้วยกัน
38. พาไปดูหนังโรแมนติคและจำส่วนที่เธอ/เขาชอบ
39. เรียนรู้กันและกัน และอย่าทำผิดแบบเดิมเกิน2ครั้ง
40. บอกว่าคุณรู้สึกดียังไงที่ได้อยู่กับเธอ/เขา
41. เสียสละให้กันและกัน
42. รักกันมากๆ ถ้าไม่อย่างนั้นก้อเลิกกันไปเลย
43. ทำให้ไม่มีนาทีไหนที่คุณไม่คิดถึงเขา/เธอ
44. รักตัวเองก่อนที่จะไปรักใคร
45. หัดพูดคำหวานๆในภาษาอื่น
46. ขอเพลงให้เขา/เธอ ในวิทยุ
47. หลับคาโทรศัพท์ด้วยกัน
48. ปกป้องเธอ/เขา เมื่อคนอื่นพูดอะไรไม่ดีต่อเขา/เธอ
49. ห้ามลืมการจูบ good night และพูดว่า"ฝันดีนะ" เสมอ
50.และสุดท้ายต้องขอขอบคุณที่โลกสร้างเธอ/เขาขึ้นมา
ป้ายกำกับ:
Stories reminder
โปรดอ่าน ด้วยความหวังดี
เพราะรักในแบบของใคร ก็เป็นแบบของมันไม่มีแบบแผนตายตัว"
อย่าฝืนใจรัก ถ้ามันไม่ใช่ ไม่มีประโยชน์อะไร
ที่จะคบใครสักคนเพียงเพราะอยากจะมีใครสักคน
อย่าเปลี่ยนตัวเองเพียงเพื่อให้เขามารัก เพราะจะทำได้ไม่นาน
วันหนึ่งคุณจะรู้สึกเหนื่อยเพราะความรัก ที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง
อย่าหลงในรสชาติของความรักเสียจนลืมชีวิตประจำวันของตัวเอง
หรือสูญเสียความเป็นส่วนตัว
คนที่พร้อมจะอยู่กับคุณโดยที่คุณไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิตเลย
คนที่พร้อมจะเดินหน้าเมื่อคุณเดินหน้า คนที่พร้อมจะถอยหลังไปกับคุณ
คนที่ไม่ยอมให้คุณเดินตามหลัง ขอเพียงเดินเคียงข้างกัน
คนที่ไม่บังคับให้คุณทำอะไรในแบบที่คุณไม่ชอบ
คนที่ไว้ใจ ให้อภัย ให้โอกาส ซื่อสัตย์และให้เกียรติคุณ
.....นั่นแหล่ะ คือคนที่รักคุณจริง.....
จงถนอมคนเหล่านี้ไว้ อย่าปล่อยให้เขาไปจากคุณ..
เพราะคุณจะเสียใจหากเขาเปลี่ยนไปหยิบยื่นความโชคดีที่ควรจะเป็นของคุณไปให้คนอื่น
คนที่รักคนที่เปลือกนอกมีอยู่เยอะเหลือเกิน
ชีวิตคนคนหนึ่งจะมีคนที่รักคุณจริงผ่านมาสักกี่คน
ใครที่บอกว่ารักคุณแล้วพยายามจะเปลี่ยนคุณ ดึงคุณให้เดินตามทางของเขา
เขาไม่ได้รักคุณจริงหรอก...เขารักตัวเอง
จงเชื่อในพรหมลิขิต จงเชื่อในเหตุการณ์ที่นำพาความรักมาให้
อย่าบอกว่าไม่รัก ถ้าไม่สามารถสบตาเขาอย่างบริสุทธิ์ใจได้
อย่าบอกว่ารัก..ถ้าคุณไม่รู้สึกวูบวาบเวลาอยู่ใกล้ ๆ
อย่าบอกว่าไม่คิดถึง..ถ้าหัวใจไม่อาจลืม
อย่าบอกว่าคิดถึง ถ้าเพิ่งจากกันไม่ถึง 1 นาที
อย่าปล่อยให้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราหลุดลอยไป
ลองคุยกันมากขึ้น รับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายด้วยใจ
จะทำให้เรารู้ว่าเราโชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้รู้จักความรัก
อย่าปล่อยให้ใครคนใดคนหนึ่งมีน้ำตา ทั้ง ๆ ที่อีกคนหนึ่งกำลังดีใจ
อย่าปล่อยให้ใครอีกคนหนึ่งยิ้ม ทั้ง ๆ ที่อีกคนหนึ่งกำลังร้องไห้
อย่าปล่อยให้ใครคนใดคนหนึ่งพูด ทั้ง ๆ ที่อีกคนหนึ่งไม่ต้องการฟัง
ความรักต้องมาจากความรู้สึกของคนสองคน..
อย่าให้ใครคนใดคนหนึ่งหยิบยื่น แต่อีกคนหนึ่งไม่ต้องการ
ความรักเป็นเพียงสายใยบาง ๆ ที่มันถูกหล่อหลอมขึ้นจากความรู้สึกต่าง ๆ
ทั้งความอาทร ห่วงใย ห่วงหา คิดถึง
ความอดทนจะทำให้อุปสรรคต่าง ๆ ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
ความพยายามจะทำให้เราสองคนยังคงอยู่
ความไว้ใจจะทำให้ความรักของเราแข็งแกร่ง
ความซื่อสัตย์จะทำให้ความรักของเรามั่นคง
ความเสมอต้นเสมอปลายจะทำให้ความรักของเราสวยงาม
และสุดท้ายความรักก็จะก่อตัวขึ้นเป็นความผูกพัน
สิ่งเหล่านี้จะทำให้สายใยบาง ๆ ของความรัก
กลายเป็นเชือกเส้นหนาที่ผูกคนสองคนไว้ด้วยกัน
มันจะเป็นเชือกที่มัดเราไว้ด้วยกัน เป็นเชือกที่ทำให้เราไม่อึดอัด
เราจะไม่ดิ้นรนที่จะพยายามหลุดออกจากเชือกเส้นนี้
เมื่อได้เจอความรักที่ดีแล้ว จงทำให้เขารู้สึกว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว
อย่าปล่อยให้เขาโดดเดี่ยว อย่าปล่อยให้เขาเดียวดาย
คิดถึงสิ่งดี ๆ ที่เราเคยมีกัน อย่าลืมวันแรก ๆ ที่เรารู้สึกกับคน ๆ นี้
เขาเป็นคนดีที่สุดแล้วสำหรับเรา พยายามรักษาเขาไว้
เพราะเมื่อเขาหลุดลอยไปแล้ว เราจะไม่สามารถเรียกความรู้สึกต่าง ๆ กลับมาได้อีก
เหมือนเวลาที่ไม่สามารถย้อนเดินกลับ
ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะอดีตแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว
อย่าทิ้งหัวใจของคุณไว้กับอดีต อย่าคิดว่าอดีตไม่มีวันหวนคืน
อย่าคิดว่าไม่มีพรุ่งนี้ อย่าลืมบทเรียนของเมื่อวาน
ทุกชีวิตยังมีความหวังอยู่เสมอ จงปล่อยให้ชีวิตดำเนินต่อไป..
วันหนึ่งถ้าชีวิตหวนคืนมาสู่ทางสายเก่า..
ที่เคยทำให้คุณมีความสุขระหว่างเดินทางในแต่ละก้าว..จงอย่าเดินเลี่ยงมันไปอีก
เพราะน้อยนักที่ถนนสายเดิมยังคงสภาพเดิมเพื่อรอให้คุณเดินย้อนกลับมา..
ลองเดินต่อไปสิ..บางทีคุณอาจจะเจอจุดหมายที่คุณค้นหามาตลอดชีวิต
ในเส้นทางที่คุณเคยเดินเลี่ยงมันไปก็ได้...
*************
อย่าฝืนใจรัก ถ้ามันไม่ใช่ ไม่มีประโยชน์อะไร
ที่จะคบใครสักคนเพียงเพราะอยากจะมีใครสักคน
อย่าเปลี่ยนตัวเองเพียงเพื่อให้เขามารัก เพราะจะทำได้ไม่นาน
วันหนึ่งคุณจะรู้สึกเหนื่อยเพราะความรัก ที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง
อย่าหลงในรสชาติของความรักเสียจนลืมชีวิตประจำวันของตัวเอง
หรือสูญเสียความเป็นส่วนตัว
คนที่พร้อมจะอยู่กับคุณโดยที่คุณไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิตเลย
คนที่พร้อมจะเดินหน้าเมื่อคุณเดินหน้า คนที่พร้อมจะถอยหลังไปกับคุณ
คนที่ไม่ยอมให้คุณเดินตามหลัง ขอเพียงเดินเคียงข้างกัน
คนที่ไม่บังคับให้คุณทำอะไรในแบบที่คุณไม่ชอบ
คนที่ไว้ใจ ให้อภัย ให้โอกาส ซื่อสัตย์และให้เกียรติคุณ
.....นั่นแหล่ะ คือคนที่รักคุณจริง.....
จงถนอมคนเหล่านี้ไว้ อย่าปล่อยให้เขาไปจากคุณ..
เพราะคุณจะเสียใจหากเขาเปลี่ยนไปหยิบยื่นความโชคดีที่ควรจะเป็นของคุณไปให้คนอื่น
คนที่รักคนที่เปลือกนอกมีอยู่เยอะเหลือเกิน
ชีวิตคนคนหนึ่งจะมีคนที่รักคุณจริงผ่านมาสักกี่คน
ใครที่บอกว่ารักคุณแล้วพยายามจะเปลี่ยนคุณ ดึงคุณให้เดินตามทางของเขา
เขาไม่ได้รักคุณจริงหรอก...เขารักตัวเอง
จงเชื่อในพรหมลิขิต จงเชื่อในเหตุการณ์ที่นำพาความรักมาให้
อย่าบอกว่าไม่รัก ถ้าไม่สามารถสบตาเขาอย่างบริสุทธิ์ใจได้
อย่าบอกว่ารัก..ถ้าคุณไม่รู้สึกวูบวาบเวลาอยู่ใกล้ ๆ
อย่าบอกว่าไม่คิดถึง..ถ้าหัวใจไม่อาจลืม
อย่าบอกว่าคิดถึง ถ้าเพิ่งจากกันไม่ถึง 1 นาที
อย่าปล่อยให้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราหลุดลอยไป
ลองคุยกันมากขึ้น รับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายด้วยใจ
จะทำให้เรารู้ว่าเราโชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้รู้จักความรัก
อย่าปล่อยให้ใครคนใดคนหนึ่งมีน้ำตา ทั้ง ๆ ที่อีกคนหนึ่งกำลังดีใจ
อย่าปล่อยให้ใครอีกคนหนึ่งยิ้ม ทั้ง ๆ ที่อีกคนหนึ่งกำลังร้องไห้
อย่าปล่อยให้ใครคนใดคนหนึ่งพูด ทั้ง ๆ ที่อีกคนหนึ่งไม่ต้องการฟัง
ความรักต้องมาจากความรู้สึกของคนสองคน..
อย่าให้ใครคนใดคนหนึ่งหยิบยื่น แต่อีกคนหนึ่งไม่ต้องการ
ความรักเป็นเพียงสายใยบาง ๆ ที่มันถูกหล่อหลอมขึ้นจากความรู้สึกต่าง ๆ
ทั้งความอาทร ห่วงใย ห่วงหา คิดถึง
ความอดทนจะทำให้อุปสรรคต่าง ๆ ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
ความพยายามจะทำให้เราสองคนยังคงอยู่
ความไว้ใจจะทำให้ความรักของเราแข็งแกร่ง
ความซื่อสัตย์จะทำให้ความรักของเรามั่นคง
ความเสมอต้นเสมอปลายจะทำให้ความรักของเราสวยงาม
และสุดท้ายความรักก็จะก่อตัวขึ้นเป็นความผูกพัน
สิ่งเหล่านี้จะทำให้สายใยบาง ๆ ของความรัก
กลายเป็นเชือกเส้นหนาที่ผูกคนสองคนไว้ด้วยกัน
มันจะเป็นเชือกที่มัดเราไว้ด้วยกัน เป็นเชือกที่ทำให้เราไม่อึดอัด
เราจะไม่ดิ้นรนที่จะพยายามหลุดออกจากเชือกเส้นนี้
เมื่อได้เจอความรักที่ดีแล้ว จงทำให้เขารู้สึกว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว
อย่าปล่อยให้เขาโดดเดี่ยว อย่าปล่อยให้เขาเดียวดาย
คิดถึงสิ่งดี ๆ ที่เราเคยมีกัน อย่าลืมวันแรก ๆ ที่เรารู้สึกกับคน ๆ นี้
เขาเป็นคนดีที่สุดแล้วสำหรับเรา พยายามรักษาเขาไว้
เพราะเมื่อเขาหลุดลอยไปแล้ว เราจะไม่สามารถเรียกความรู้สึกต่าง ๆ กลับมาได้อีก
เหมือนเวลาที่ไม่สามารถย้อนเดินกลับ
ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะอดีตแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว
อย่าทิ้งหัวใจของคุณไว้กับอดีต อย่าคิดว่าอดีตไม่มีวันหวนคืน
อย่าคิดว่าไม่มีพรุ่งนี้ อย่าลืมบทเรียนของเมื่อวาน
ทุกชีวิตยังมีความหวังอยู่เสมอ จงปล่อยให้ชีวิตดำเนินต่อไป..
วันหนึ่งถ้าชีวิตหวนคืนมาสู่ทางสายเก่า..
ที่เคยทำให้คุณมีความสุขระหว่างเดินทางในแต่ละก้าว..จงอย่าเดินเลี่ยงมันไปอีก
เพราะน้อยนักที่ถนนสายเดิมยังคงสภาพเดิมเพื่อรอให้คุณเดินย้อนกลับมา..
ลองเดินต่อไปสิ..บางทีคุณอาจจะเจอจุดหมายที่คุณค้นหามาตลอดชีวิต
ในเส้นทางที่คุณเคยเดินเลี่ยงมันไปก็ได้...
*************
ป้ายกำกับ:
Stories reminder
ความจริงเกี่ยวกับความรัก
1. การรักและไม่ได้รับรักตอบ เป็นทุกข์ แต่สิ่งที่ทุกข์ยิ่งกว่า คือ
การรักใครสักคน แต่ไม่มีความกล้าพอที่จะบอกให้คนคนนั้นรู้ และต้องมาเสียใจภายหลัง
2. พระเจ้าอาจจะต้องการให้เราพบคนที่ไม่ใช่..ก่อนที่จะมาพบคนที่ใช่
เพื่อเวลาเราพบคนคนนั้นแล้ว เราจะได้รู้สึกซาบซึ้งถึงพรที่ทานประทานมา
3. ความรักคือความรู้สึกที่คุณยังห่วงใยใครสักคนอยู่ แม้จะแยกความรู้สึก
ความลุ่มหลง และความสัมพันธ์แบบรักใคร่ออกไปแล้ว
4. สิ่งที่น่าเศร้าในชีวิต คือการพบคนที่มีความหมายอย่างมากสำหรับเรา
แต่มาค้นพบภายหลังว่าเราไม่ได้ถูกกำหนดมาเพื่อสิ่งนั้น และจะต้องปล่อยให้ผ่านพ้นไป
5. เมื่อประตูแห่งความสุขปิดลง ประตูแห่งความสุขบานอื่นก็จะเปิดขึ้น แต่เราก็มัวแต่มองประตูที่ปิดลง
ไปแล้วเนิ่นนานจนกระทั่งเรามองไม่เห็นประตูที่ เปิดไว้รอเรา
6. เพื่อนที่ดีที่สุดคือคนที่คุณสามารถนั่งอยู่ริมระเบียงด้วยกันโดยไม่พูดอะไร กันสักคำ
แต่สามารถเดินจากไปด้วยความรู้สึกเหมือนได้คุยกันอย่างประทับใจที่สุด
7. เป็นความจริงที่เราไม่สามารถรู้เลยว่าเรามีอะไรอยู่จนกว่าเราจะสูญเสียมันไป
แต่ก็จริงอีกเช่นกันที่เราไม่รู้ว่าเราพลาดอะไรไปบ้างจนกระทั่งสิ่งนั้นเข้ามาหาเรา
8. การมอบความรักทั้งหมดให้ใครสักคนไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเขาจะรักเราตอบ
อย่าหวังที่จะได้รักตอบ แต่จงรอให้มันงอกงามขึ้นในหัวใจเขา แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ก็ให้พอใจว่าอย่างน้อยมันก็ได้งอกงามขึ้นในใจของเรา
9. มีสิ่งที่คุณต้องการจะได้ยิน แต่คุณจะไม่ได้ยินมันจากปากของคนที่คุณอยากได้ยิน
แต่อย่าทำตัวเป็นคนหูหนวกโดยไม่รับฟังสิ่งนั้นจากคนที่เขาบอกกับคุณจากหัวใจ
10. อย่าบอกลา ถ้าคุณยังต้องการจะพยายามต่อไป อย่าท้อใจถ้าคุณยังรู้สึกว่าคุณไปไหว
อย่าพูดว่าคุณไม่รักคนคนนั้นอีกแล้ว ถ้าคุณไม่สามารถทำใจได้
11. ความรักมักมาเยือนผู้ที่ยังคงหวัง ถึงแม้ว่าจะผิดหวัง และมาเยือนผู้ที่ยังคงเชื่อ
ถึงแม้ว่าจะถูกทรยศหักหลัง และจะมาเยือนผู้ที่ยังคงรัก ถึงแม้จะเคยเจ็บปวดมาก่อน
12. การที่เราจะประทับใจใครนั้นใช้เวลาแค่เพียงนาที การที่เราจะชอบใครใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมง
การที่เราจะรักใครใช้เวลาเพียงชั่ววัน แต่การที่จะลืมใครนั้นต้องใช้เวลาชั่วชีวิต
13. อย่ามองใครจากหน้าตา เพราะมันอาจหลอกเราได้ อย่ามองใครจากความร่ำรวย เพราะมันไม่จีรังยั่งยืน
ให้มองหาคนที่ทำให้คุณยิ้มได้ เพราะเพียงยิ้มเดียว สามารถทำให้วันที่หม่นหมองกลับสดใส ขอให้คุณพบคนที่ทำให้คุณยิ้มได้
14. มีช่วงเวลาในชีวิตที่คุณคิดถึงใครสักคนจนกระทั่งอยากดึงเขามาจากความฝัน
เพื่อกอดเอาไว้ขอให้คุณได้ฝันถึงคนพิเศษนั้น
15. ฝัน ถึงสิ่งที่คุณต้องการฝัน ไปในที่ที่คุณต้องการไป เป็นในสิ่งที่คุณต้องการเป็น
เพราะคุณมีเพียงชีวิตเดียว และมีโอกาสเดียวที่จะทำทุกสิ่งที่คุณต้องการ
16. ขอให้คุณมีความสุขมากพอที่จะทำให้คุณเป็นคนอ่อนหวาน ผ่านการทดสอบมามากพอที่จะทำให้คุณเข้มแข็ง
มีความเศร้าโศกพอที่จะทำให้คุณยังคงความเป็นมนุษย์ และมีความหวังมากพอที่จะทำให้คุณเป็นสุข
17. เอาใจเขามาใส่ใจเรา ถ้าคุณรู้สึกว่าสิ่งนั้นจะทำให้คุณเจ็บปวด รู้ไว้เถอะว่าคนอื่นก็เจ็บปวดจากสิ่งเดียวกันเช่นกัน
18. คำพูดที่ไม่ได้ยั้งคิดอาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง คำพูดที่โหดร้ายอาจทำลายชีวิต
คำพูดที่เหมาะกาละเทศะอาจลดความเครียด คำรักอาจเยียวยาและทำให้มีสุขได้
19. จุดเริ่มของความรักคือการปล่อยให้คนที่เรารักเป็นตัวของตัวเอง อย่าดึงเขาจากภาพความเป็นเขา
มิฉะนั้นจะหมายความว่าเราเราเพียงภาพสะท้อนของตัวเราที่ปรากฎในพวกเขา
20. คนที่มีความสุขที่สุด ไม่ได้หมายความว่าเขามีสิ่งที่ดีที่สุด เพียงแต่เขาสามารถทำสิ่งที่เขามีให้ดีที่สุดได้ต่างหาก
21. ความสุขรออยู่เบื้องหน้าผู้ที่มีน้ำตา ผู้ที่เจ็บปวด ผู้ที่ค้นหา และผู้ที่พยายามแล้ว
เพราะมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้จักคุณค่าของผู้คนที่ได้สัมผัสชีวิตพวกเขา
22. ความรักเริ่มต้นด้วยรอยยิ้ม งอกงามด้วยรอยจูบ และจบลงด้วยคราบน้ำตา
23. อนาคตที่สดใสมีรากฐานอยู่บนอดีตที่ถูกลืม คุณไม่สามารถดำเนินชีวิตต่อไป
ได้ดีถ้าหากไม่รู้จักปล่อยวางความผิดพลาดในอดีต และความปวดใจ
24. คุณร้องไห้ตอนคุณเกิดในขณะที่คนรอบข้างกำลังยิ้ม
จงมีชีวิตอยู่เพื่อเมื่อตอนคุณตาย คุณจะเป็นคนที่ยิ้ม ในขณะที่คนรอบข้างร้องไห้ให้
การรักใครสักคน แต่ไม่มีความกล้าพอที่จะบอกให้คนคนนั้นรู้ และต้องมาเสียใจภายหลัง
2. พระเจ้าอาจจะต้องการให้เราพบคนที่ไม่ใช่..ก่อนที่จะมาพบคนที่ใช่
เพื่อเวลาเราพบคนคนนั้นแล้ว เราจะได้รู้สึกซาบซึ้งถึงพรที่ทานประทานมา
3. ความรักคือความรู้สึกที่คุณยังห่วงใยใครสักคนอยู่ แม้จะแยกความรู้สึก
ความลุ่มหลง และความสัมพันธ์แบบรักใคร่ออกไปแล้ว
4. สิ่งที่น่าเศร้าในชีวิต คือการพบคนที่มีความหมายอย่างมากสำหรับเรา
แต่มาค้นพบภายหลังว่าเราไม่ได้ถูกกำหนดมาเพื่อสิ่งนั้น และจะต้องปล่อยให้ผ่านพ้นไป
5. เมื่อประตูแห่งความสุขปิดลง ประตูแห่งความสุขบานอื่นก็จะเปิดขึ้น แต่เราก็มัวแต่มองประตูที่ปิดลง
ไปแล้วเนิ่นนานจนกระทั่งเรามองไม่เห็นประตูที่ เปิดไว้รอเรา
6. เพื่อนที่ดีที่สุดคือคนที่คุณสามารถนั่งอยู่ริมระเบียงด้วยกันโดยไม่พูดอะไร กันสักคำ
แต่สามารถเดินจากไปด้วยความรู้สึกเหมือนได้คุยกันอย่างประทับใจที่สุด
7. เป็นความจริงที่เราไม่สามารถรู้เลยว่าเรามีอะไรอยู่จนกว่าเราจะสูญเสียมันไป
แต่ก็จริงอีกเช่นกันที่เราไม่รู้ว่าเราพลาดอะไรไปบ้างจนกระทั่งสิ่งนั้นเข้ามาหาเรา
8. การมอบความรักทั้งหมดให้ใครสักคนไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเขาจะรักเราตอบ
อย่าหวังที่จะได้รักตอบ แต่จงรอให้มันงอกงามขึ้นในหัวใจเขา แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ก็ให้พอใจว่าอย่างน้อยมันก็ได้งอกงามขึ้นในใจของเรา
9. มีสิ่งที่คุณต้องการจะได้ยิน แต่คุณจะไม่ได้ยินมันจากปากของคนที่คุณอยากได้ยิน
แต่อย่าทำตัวเป็นคนหูหนวกโดยไม่รับฟังสิ่งนั้นจากคนที่เขาบอกกับคุณจากหัวใจ
10. อย่าบอกลา ถ้าคุณยังต้องการจะพยายามต่อไป อย่าท้อใจถ้าคุณยังรู้สึกว่าคุณไปไหว
อย่าพูดว่าคุณไม่รักคนคนนั้นอีกแล้ว ถ้าคุณไม่สามารถทำใจได้
11. ความรักมักมาเยือนผู้ที่ยังคงหวัง ถึงแม้ว่าจะผิดหวัง และมาเยือนผู้ที่ยังคงเชื่อ
ถึงแม้ว่าจะถูกทรยศหักหลัง และจะมาเยือนผู้ที่ยังคงรัก ถึงแม้จะเคยเจ็บปวดมาก่อน
12. การที่เราจะประทับใจใครนั้นใช้เวลาแค่เพียงนาที การที่เราจะชอบใครใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมง
การที่เราจะรักใครใช้เวลาเพียงชั่ววัน แต่การที่จะลืมใครนั้นต้องใช้เวลาชั่วชีวิต
13. อย่ามองใครจากหน้าตา เพราะมันอาจหลอกเราได้ อย่ามองใครจากความร่ำรวย เพราะมันไม่จีรังยั่งยืน
ให้มองหาคนที่ทำให้คุณยิ้มได้ เพราะเพียงยิ้มเดียว สามารถทำให้วันที่หม่นหมองกลับสดใส ขอให้คุณพบคนที่ทำให้คุณยิ้มได้
14. มีช่วงเวลาในชีวิตที่คุณคิดถึงใครสักคนจนกระทั่งอยากดึงเขามาจากความฝัน
เพื่อกอดเอาไว้ขอให้คุณได้ฝันถึงคนพิเศษนั้น
15. ฝัน ถึงสิ่งที่คุณต้องการฝัน ไปในที่ที่คุณต้องการไป เป็นในสิ่งที่คุณต้องการเป็น
เพราะคุณมีเพียงชีวิตเดียว และมีโอกาสเดียวที่จะทำทุกสิ่งที่คุณต้องการ
16. ขอให้คุณมีความสุขมากพอที่จะทำให้คุณเป็นคนอ่อนหวาน ผ่านการทดสอบมามากพอที่จะทำให้คุณเข้มแข็ง
มีความเศร้าโศกพอที่จะทำให้คุณยังคงความเป็นมนุษย์ และมีความหวังมากพอที่จะทำให้คุณเป็นสุข
17. เอาใจเขามาใส่ใจเรา ถ้าคุณรู้สึกว่าสิ่งนั้นจะทำให้คุณเจ็บปวด รู้ไว้เถอะว่าคนอื่นก็เจ็บปวดจากสิ่งเดียวกันเช่นกัน
18. คำพูดที่ไม่ได้ยั้งคิดอาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง คำพูดที่โหดร้ายอาจทำลายชีวิต
คำพูดที่เหมาะกาละเทศะอาจลดความเครียด คำรักอาจเยียวยาและทำให้มีสุขได้
19. จุดเริ่มของความรักคือการปล่อยให้คนที่เรารักเป็นตัวของตัวเอง อย่าดึงเขาจากภาพความเป็นเขา
มิฉะนั้นจะหมายความว่าเราเราเพียงภาพสะท้อนของตัวเราที่ปรากฎในพวกเขา
20. คนที่มีความสุขที่สุด ไม่ได้หมายความว่าเขามีสิ่งที่ดีที่สุด เพียงแต่เขาสามารถทำสิ่งที่เขามีให้ดีที่สุดได้ต่างหาก
21. ความสุขรออยู่เบื้องหน้าผู้ที่มีน้ำตา ผู้ที่เจ็บปวด ผู้ที่ค้นหา และผู้ที่พยายามแล้ว
เพราะมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้จักคุณค่าของผู้คนที่ได้สัมผัสชีวิตพวกเขา
22. ความรักเริ่มต้นด้วยรอยยิ้ม งอกงามด้วยรอยจูบ และจบลงด้วยคราบน้ำตา
23. อนาคตที่สดใสมีรากฐานอยู่บนอดีตที่ถูกลืม คุณไม่สามารถดำเนินชีวิตต่อไป
ได้ดีถ้าหากไม่รู้จักปล่อยวางความผิดพลาดในอดีต และความปวดใจ
24. คุณร้องไห้ตอนคุณเกิดในขณะที่คนรอบข้างกำลังยิ้ม
จงมีชีวิตอยู่เพื่อเมื่อตอนคุณตาย คุณจะเป็นคนที่ยิ้ม ในขณะที่คนรอบข้างร้องไห้ให้
ป้ายกำกับ:
Stories reminder
ต้นไม้รัก
หยิบขวดแก้วมาหนึ่งขวด
มีคนรักหนึ่งคน
เติมน้ำในขวดแก้ว ครึ่งขวด หยิบต้นไม้ ใส่ลงไป
เติมเต็มให้กับคนรัก ดูแล ห่วงใย เอาใจใส่กันและกัน
นำต้นไม้ในขวดแก้วไปวางไว้ในที่ ที่ เห็นว่าสมควร
เก็บเอาคนรักไว้ในใจ ให้อิสระ ซึ่งกันและกัน
ต้นไม้ในขวดแก้ว ไม่ต้องดูแลเอาใจใส่ตลอดเวลา นาน ๆ เติมน้ำให้หน
คนรัก ไม่จำเป็นต้องเห็นหน้ากัน หรืออยู่ด้วยกันตลอดทั้งวัน แต่ไม่ลืมว่าเรามีกันและกัน
ต้นไม้ในขวดแก้ว อยู่ได้ตามลำพัง ในขวดแก้วต้นเดียว ได้ตลอดไป
คนรัก ต่างคนต่างอยู่ แต่ไม่ตลอดไป เมื่อถึงเวลาอันควรเมื่อใด เราจะไม่แยกจากกัน
ต้นไม้ในขวดแก้ว ไม่มีวันตาย ถ้าไม่ขาดน้ำ
คนรัก ไม่มีวันพรากจากกัน ถ้าหมั่นดูแลหัวใจของกันและกัน ที่สำคัญ คือการซื่อสัตย์ต่อคนรัก
ต้นไม้ในขวดแก้ว แตกสลายได้ง่าย เมื่อเผลอไปปัด หรือวางในพื้นที่ไม่เรียบ – หมิ่นเหม่
คนรัก แตกแยกจากกันได้ยาก หากไม่หนีปัญหา หันหน้าเข้าหากัน เอาเหตุผลมาคุยกัน ให้เกียตริกัน
ทำไมต้นไม้ในขวดแก้ว ถึงไม่ตาย เมื่อมันไม่มีดิน เพราะต้นไม้บางตันหยั่งรากได้ทั้งในน้ำ หรือ ใต้ดิน
ทำไมคนรักไม่หวงแหน หรือ ระแวง ว่าอีกคนมีใครซ่อนไว้หรือเปล่า เพราะ รากฐานของคนสองคนอยู่ที่การไว้ใจ
ดังนั้น
ตันไม้ในขวดแก้ว จึงดูแล ได้ง่าย เมื่อรู้ว่ามันเป็นพืชชนิดใด
แต่…………
คนรัก….ยากนัก หากไม่รู้จักเอาใจเค้ามาใส่ใจเรา ไม่รู้จักการให้อภัย ไม่รู้จักการไว้ไจ
เราก็จะไม่มีวันรู้จัก… ความรัก…ที่แท้จริง.......
มีคนรักหนึ่งคน
เติมน้ำในขวดแก้ว ครึ่งขวด หยิบต้นไม้ ใส่ลงไป
เติมเต็มให้กับคนรัก ดูแล ห่วงใย เอาใจใส่กันและกัน
นำต้นไม้ในขวดแก้วไปวางไว้ในที่ ที่ เห็นว่าสมควร
เก็บเอาคนรักไว้ในใจ ให้อิสระ ซึ่งกันและกัน
ต้นไม้ในขวดแก้ว ไม่ต้องดูแลเอาใจใส่ตลอดเวลา นาน ๆ เติมน้ำให้หน
คนรัก ไม่จำเป็นต้องเห็นหน้ากัน หรืออยู่ด้วยกันตลอดทั้งวัน แต่ไม่ลืมว่าเรามีกันและกัน
ต้นไม้ในขวดแก้ว อยู่ได้ตามลำพัง ในขวดแก้วต้นเดียว ได้ตลอดไป
คนรัก ต่างคนต่างอยู่ แต่ไม่ตลอดไป เมื่อถึงเวลาอันควรเมื่อใด เราจะไม่แยกจากกัน
ต้นไม้ในขวดแก้ว ไม่มีวันตาย ถ้าไม่ขาดน้ำ
คนรัก ไม่มีวันพรากจากกัน ถ้าหมั่นดูแลหัวใจของกันและกัน ที่สำคัญ คือการซื่อสัตย์ต่อคนรัก
ต้นไม้ในขวดแก้ว แตกสลายได้ง่าย เมื่อเผลอไปปัด หรือวางในพื้นที่ไม่เรียบ – หมิ่นเหม่
คนรัก แตกแยกจากกันได้ยาก หากไม่หนีปัญหา หันหน้าเข้าหากัน เอาเหตุผลมาคุยกัน ให้เกียตริกัน
ทำไมต้นไม้ในขวดแก้ว ถึงไม่ตาย เมื่อมันไม่มีดิน เพราะต้นไม้บางตันหยั่งรากได้ทั้งในน้ำ หรือ ใต้ดิน
ทำไมคนรักไม่หวงแหน หรือ ระแวง ว่าอีกคนมีใครซ่อนไว้หรือเปล่า เพราะ รากฐานของคนสองคนอยู่ที่การไว้ใจ
ดังนั้น
ตันไม้ในขวดแก้ว จึงดูแล ได้ง่าย เมื่อรู้ว่ามันเป็นพืชชนิดใด
แต่…………
คนรัก….ยากนัก หากไม่รู้จักเอาใจเค้ามาใส่ใจเรา ไม่รู้จักการให้อภัย ไม่รู้จักการไว้ไจ
เราก็จะไม่มีวันรู้จัก… ความรัก…ที่แท้จริง.......
ป้ายกำกับ:
Stories reminder
Demention of Time
king
ตอนที่ 1 ----- ความทรงจำ
“ อลิซ ! อลิซ ! ตื่นได้แล้วจ้ะ แม่ว่าลูกคงไม่อยากไปโรงเรียนสายตั้งแต่เปิดเทอมวันแรกหรอก
“ เสียงตะโกนของคุณนายเชอร์ชิลจากห้องครัว ช่างกวนโสตประสาทสาวน้อยร่างเล็ก อย่างอลิซเสียจริง
“ ค่ะ…แม่ “ อลิซรับคำด้วยน้ำเสียงที่ไม่เต็มใจนัก แล้วเธอก็ดันร่างอันบอบบางขึ้นจากเตียงสีชมพูหนานุ่ม
พลางพูดกับตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์ “ น่าเบื่อจริง ๆ เลย ตื่นมาก็กลายเป็นแค่อลิซ เชอร์ชิล เด็กนักเรียนเกรด 11 อยู่ไฮสกูล
ทำไมไม่เป็นเหมือนในฝันบ้างนะ ….ข้าคือเจ้าหญิงเอลิซา พระราชธิดาแห่งจักรพรรดิผู้ครองนครบาร์บิโอส … เฮ้อ ! …
” อลิซก็คงจะเหมือนกับเด็กสาวทั่ว ๆ ไป ที่เพ้ออยู่กับความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้
“ อลิซ ! แม่เรียกลูกหลายครั้งแล้วนะ มัวมายืนเหม่ออะไรอยู่ เดี๋ยวก็ไปโรงเรียนสายหรอก ”
คุณนายเชอร์ชิลขึ้นมาตามลูกสาวจอมรั้นถึงในห้องแล้วว่าเธออย่างเสียไม่ได้ อลิซสะดุ้งจากฝันหวาน
“ หนูไม่ได้เหม่อนะคะ หนูแค่กำลังคิดอยู่ว่าจะแปรงฟันก่อนหรือจะทานอาหารเช้าก่อนดี ”
นี่เป็นคำแก้ตัวที่ฟังดูไม่เข้าท่าเลยจริง ๆ สำหรับนักเรียนเกรด 11 อย่างอลิซ คุณนายเชอร์ชิลยิ้มอย่างเอ็นดูแล้วส่ายหน้า “
แม่ว่าลูกคงต้องไปหัดโกหกมาใหม่ให้แนบเนียนกว่านี้แล้วล่ะจ้ะ รีบไปแต่งตัวเถอะ อาหารเช้าเสร็จแล้ว ”
คุณนายเชอร์ชิลออกจากห้องของอลิซแล้วเดินลงบันไดตรงไปยังห้องครัวตามเดิม …. ‘ อีฟ เชอร์ชิล ‘ แม่ผู้แสนดี
เธอคอยกวดขันและดูแลทุกข์สุขของครอบครัวเสมอ ๆ โดยเฉพาะลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนอย่างอลิซ
ซึ่งตามปกติของครอบครัวทั่ว ๆ ไปจะให้อิสระลูก ๆ ในการดูแลตนเองตั้งแต่เรียนเกรด 9
แต่คุณนายเชอร์ชิลยังคงตักเตือนและมีกฎเกณฑ์กับลูก ให้อิสระได้ในบางเรื่องที่สมควรเท่านั้น
จึงทำให้อลิซมีความคิดเป็นผู้ใหญ่ ไม่เอาแต่ใจตนเองเหมือนวัยรุ่นคนอื่น ๆ ….
อลิซแต่งตัวด้วยชุดเก่งของเธอ กางเกงยีนส์ขายาวสีน้ำเงิน เสื้อยืดแขนสั้นสีขาวเข้ารูป
พร้อมกับสะพายกระเป๋าเป้ใบใหม่เดินลงมายังห้องครัว เธอมองดูอาหารเช้าที่คุณนายเชอร์ชิลผู้เป็นแม่เตรียมไว้
อลิซมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก “ แม่คะ วันนี้ไม่มีเนยถั่วหรอ หนูไม่ชอบขนมปังทาแยมสตอเบอรี่
เพราะมันทำให้หนูนึกถึงวันงานโรงเรียนปีที่แล้ว ชวนคลื่นไส้จริง ๆ เลยค่ะ ” คือ .. เรื่องก็มีอยู่ว่า
วันงานโรงเรียนของอลิซเมื่อปีที่แล้ว ได้จัดให้มีการแข่งขันกินวิบาก ซึ่งเธอก็ลงสมัครเป็นตัวแทนของห้องเข้าร่วมแข่งขัน
กติกากำหนดไว้ว่าผู้เข้าแข่งขันจะต้องกินขนมปังทาแยมสตอเบอรี่ 30 แผ่น
ผู้ที่กินหมดเป็นคนแรกแล้ววิ่งเข้าเส้นชัยก่อนจะเป็นผู้ชนะ เมื่อเริ่มแข่งขัน อลิซก็ยัดขนมปังเข้าปากทันที
จนกระทั่งถึงแผ่นที่ 23 เธอก็เริ่มรู้สึกตัวว่ามีอาการไม่ค่อยดี ภายในร่างกายเริ่มปั่นป่วน
ในที่สุด .. ขนมปังทั้งหมดที่สวาปามเข้าไปก็พากันทะลักออกจากปากของเธอ จากนั้นเธอก็มารู้สึกตัวอีกทีในโรงพยาบาล
จึงเป็นเหตุให้อลิซขยาดกับขนมปังทาแยมสตอเบอรี่อยู่เป็นแรมปี “ ตายจริง ! แม่ขอโทษทีจ้ะ
แม่ลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิท เห็นว่าเนยถั่วหมดแม่ก็เลยเอาแยมมาใช้แทน ” คุณนายเชอร์ชิลบอกลูกสาว
“ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวหนูไปหาอะไรกินที่โรงเรียนก็ได้ เอ … แล้ววันนี้พ่อไม่ไปทำงานหรอคะ รถยังจอดอยู่ที่หน้าบ้าน ”
อลิซพูดพลางรวบผมบลอนด์ยาวของเธอมามัดด้วยที่ผูกผมสีฟ้าอันโปรด
“ วันนี้พ่อมีประชุมตอนสายจ้ะ ลูกมัวแต่ถามอยู่นั่นแหละ ไปโรงเรียนได้แล้ว
จักรยานของลูกจอดอยู่ข้าง ๆ รถพ่อ ขี่ระวัง ๆ หน่อยนะจ๊ะ ” คุณนายเชอร์ชิลเตือนลูกสาวด้วยความเป็นห่วง
“ ตอนเย็นเจอกันนะคะแม่ ” อลิซกล่าวลาแม่ แล้วออกจากบ้าน ขี่จักรยานตรงไปยังโรงเรียนอย่างกระฉับกระเฉง
ระหว่างทางนั้นเอง อลิซบังเอิญพบกับเด็กชายคนหนึ่ง ซึ่งดูจากลักษณะแล้ว คาดว่าอายุก็คงจะราว ๆ กับเธอ
ขี่จักรยานมาขนาบข้าง ๆ เธอ ใบหน้าของเขาทำให้อลิซถึงกับสะดุ้ง ด้วยเหตุว่า ในความฝันของเธอนั้นมีภาพของเขา
อลิซหวนนึกถึงเรื่องราวที่เธอฝันเมื่อคืนนี้ …… ' บุรุษผู้เชี่ยวชาญการต่อสู้ ไม่ว่าศัตรูหน้าไหน ก็จักปราบได้ภายในหนึ่งวัน '
เจ้าชายคาร์ลอส ราชโอรสแห่งจักรพรรดิซาร์ซิอุส ผู้เป็นคู่หมั้นคู่หมายแห่ง …… “ เฮ้ ! เฮ้ ! ยายเฉิ่ม ขี่จักรยานระวังหน่อยสิ ”
เด็กชายพูดขึ้น อลิซรู้สึกตัวจากภวังค์ “ นายว่าใครว่ายายเฉิ่ม ” อลิซกล่าวอย่างไม่พอใจ
“ ก็ว่าเธอนั่นแหละยายเฉิ่ม เหม่ออยู่ได้ ขี่จักรยานอยู่นะ เดี๋ยวก็ชนต้นไม้ข้างทางหรอก ”
อลิซคิ้วขมวดด้วยความโมโห แล้วปั่นจักรยานแซงขึ้นไป “ นายงี่เง่า เข้ามาอยู่ในฝันเราได้ยังไงกันนะ นิสัยอย่างนี้
หน้าตาอย่างนี้ไม่เหมาะที่จะเป็นเจ้าชายเลย เพราะนายคนเดียวทำให้ฉันนึกเรื่องไม่ออกว่าเป็นยังไงต่อ ”
อลิซพึมพำกับตนเอง
‘ กริ๊ง ! กริ๊ง ! ‘ เสียงสัญญาณเข้าเรียนคาบแรกดังขึ้น บรรดานักเรียนต่างก็รีบวิ่งเข้าชั้นเรียนนั่งที่ของตนเอง
“ สวัสดีตอนเช้าจ้ะนักเรียนทุกคน “ ครูประจำชั้นของอลิซกล่าวทักทายนักเรียนเพื่อต้อนรับเปิดเทอมในวันแรก
‘ ครูมอนตี้ ’ เป็นครูที่อลิซเคารพและชื่นชมมาก เพราะครูคนนี้ทั้งสวย ทั้งเก่ง และแสนดีเป็นที่สุด
“ นักเรียนทุกคนฟังทางนี้หน่อยนะจ๊ะ ครูมีข่าวดีจะบอก ห้องของเราจะมีนักเรียนใหม่
เขาย้ายมาจากแอล.เอ. ประเทศสหรัฐอเมริกาจ้ะ เคลวินแนะนำตัวให้เพื่อน ๆ รู้จักสิจ๊ะ ”
ครูมอนตี้เรียกเด็กชายที่ยืนหน้าห้องให้แนะนำตัว “ สวัสดีเพื่อน ๆ ผมชื่อเคลวิน ลอฟท์ ยินดีที่ได้รู้จัก ”
เด็กหนุ่มแนะนำตัวเองแล้วยิ้มอย่างเป็นมิตร ….
‘เคลวิน ลอฟท์’ นักเรียนใหม่ ซึ่งย้ายมาจากแอล.เอ. ประเทศสหรัฐอเมริกา
สาเหตุเพราะพ่อของเขาต้องมาติดต่องานที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ บ่อยครั้ง ทำให้ไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัวนัก
เขาจึงเสนอให้พ่อย้ายมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในลอนดอนเสียเลย เคลวินมักจะเป็นที่ชื่นชอบของสาว ๆ ด้วยหน้าตาที่คมเข้ม
ผิวสีขาวอมชมพู ผม บลอนด์ รูปร่างสูงโปร่ง ดูแข็งแรงทะมัดทะแมง ที่สำคัญคือเขามีฐานะร่ำรวย
อาจจะมีแค่บางคนเท่านั้นที่ไม่ค่อยถูกชะตากับเขาเท่าไหร่ นั่นก็คงไม่พ้นสาวจอมแสบอย่างอลิซ
“ อีตาหน้าแหลมจอมเก็ก ปากเสียเนี่ยนะ จะย้ายมาอยู่ห้องเรา เชอะ ! เห็นหน้าแล้วขนลุกเป็นบ้า ”
อลิซจ้องหน้าเคลวินด้วยสายตาอาฆาต “ เอาล่ะจ้ะ เดี๋ยวเคลวินไปนั่งตรงที่ว่างข้าง ๆ อลิซก็แล้วกันนะจ๊ะ ”
ครูมอนตี้กล่าวพร้อมกับชี้ทางให้เคลวิน อลิซได้ยินดังนั้นก็ชักสีหน้าไม่พอใจ “
ครูคะ หนูว่าให้เขาไปนั่งข้าง ๆ อัลเบิร์ตดีกว่า ที่ตรงนั้นก็ว่างนี่คะ ” อลิซลุกขึ้นค้านเสียงแข็ง
“ อลิซจ๊ะ ที่ตรงนั้นน่ะ เป็นที่นั่งของเดลี่ วันนี้เขาไม่มาโรงเรียน เธอก็รู้นี่จ๊ะ” ครูมอนตี้ให้เหตุผล
อลิซต้องนั่งลงสงบปากสงบคำอย่างเสียไม่ได้ เคลวินเดินมานั่งข้าง ๆ อลิซ
เขายิ้มเยาะเธอราวกับว่าตนเองเป็นพระราชา “ ไงจ๊ะยายเฉิ่ม เราเจอกันอีกแล้วนะ ยินดีที่ได้รู้จัก ”
อลิซมองเขาด้วยหางตา “ ชื่ออลิซ เชอร์ชิล ย่ะไม่ใช่ยายเฉิ่ม แล้วฉันก็ไม่ยินดีที่จะรู้จักกับนายด้วย ”
เคลวินยักไหล่ท่าทางไม่แยแสกับคำพูดของอลิซ
“ เราก็มาเริ่มเรียนวิชาแรกกันเลยนะ นักเรียนทุกคนหยิบหนังสือขึ้นมาแล้วเปิดหน้า ………… ”
‘ กริ๊ง ! กริ๊ง ! ‘ เสียงออดดังขึ้น เป็นสัญญาณว่าได้เวลาพักกลางวัน “ เฮ้อ ! ได้เวลาพักแล้ว ค่อยยังชั่วหน่อย
กำลังหิวอยู่พอดีเลย ” แองเจลลา พูดพลางเก็บหนังสือเรียนอย่างสบายอารมณ์ …. ถ้าเอ่ยถึงชื่อของสาวไฮโซอย่าง
‘ แองเจลลา ริกกัมส์ ‘ แล้วล่ะก็ คงจะไม่มีใครที่ไม่รู้จัก เพราะเธอคือลูกสาวนักธุรกิจใหญ่ในลอนดอน
เป็นนักเรียนเกรด 11 ห้องเดียวกับอลิซ มีตำแหน่งเป็นถึงดาวประจำโรงเรียน ซึ่งหนุ่ม ๆ ต่างก็พากันหมายปอง
แต่อลิซไม่ค่อยชอบหน้าเธอนัก เพราะเจ้าหล่อนเคยทำให้อลิซเสียหน้าหลายครั้งในงานบอลล์ของโรงเรียน
โดยเฉพาะครั้งที่ผ่านมา เธอถูกแองเจลลาสกัดขาบนเวทีการประกวดชุดแฟนซีจนล้มไม่เป็นท่า
เพื่อน ๆ ต่างพากันหัวเราะเยาะ และเอาชื่อเธอขึ้นบอร์ดในตำแหน่งของตัวตลกประจำงาน
หลังจากนั้นอลิซก็ไม่กล้ามาโรงเรียนถึงสองสัปดาห์ …. “ นี่ ! แองเจลลา เธอดูนั่นสิ นักเรียนใหม่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
ยายอลิซคู่ปรับเธอน่ะ หล่อมากเลยล่ะ ดูสิ ! เขามองมาที่เธอด้วยนะ ” รอเรนซ์ กระซิบบอกแองเจลลา ….
‘ รอเรนซ์ เวลสัน ’ เป็นลูกสาวบรรณาธิการหนังสือพิมพ์รายวันฉบับหนึ่ง รูปร่างของเธอออกจะท้วม ๆ ผิวขาว
ผมสีน้ำตาลแก่ โดยรวมแล้วก็เป็นผู้หญิงที่น่ารักคนหนึ่งทีเดียว
กิจวัตรประจำวันของเธอก็คือการติดสอยห้อยตามสาวไฮโซ
ดาวประจำโรงเรียน เพราะคิดว่ารัศมีความโดดเด่นของแองเจลลาจะทำให้เธอกลายเป็นที่สนใจของบรรดา
หนุ่ม ๆ บ้าง แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีหนุ่มคนไหนมาติดพันเธอสักราย
อาจมาจากสาเหตุว่า คุณเธอเป็นประเภทที่ชอบสอดรู้สอดเห็นไปเสียทุกเรื่อง
อีกทั้งยังปากร้ายจนไม่มีใครกล้าต่อปากต่อคำด้วย …. “ นี่ยายเฉิ่ม ไม่ใช่สิ !
อลิซคุณยินดีที่จะไปรับประทานอาหารกลางวันกับหนุ่มหล่อมาดเข้มอย่างกระผมหรือเปล่าครับ”
เคลวินกล่าวชวนสาวจอมแสบ อลิซเก็บหนังสือใส่กระเป๋าแล้วหันไปมองหน้าเขา
ขณะที่เธอกำลังจะตอบปฏิเสธ แองเจลลาก็เดินเข้ามาขัดจังหวะพอดี
“ สวัสดีจ้ะ เคลวิน ยินดีต้อนรับแล้วก็ยินดีที่ได้รู้จักนะ แองเจลลา ริกกัมส์ ดาวโรงเรียนจ้ะ
แล้วนี่ก็รอเรนซ์ เวลสัน เพื่อนสนิท “ แองเจลลาแนะนำ ตนเองและเพื่อนพลางกระหยิ่มยิ้มย่องมองหน้าอลิซ
“ ยินดีเช่นกันกันครับ ” เคลวินยิ้มรับแล้วเขาก็หันหน้าไปหาอลิซชวนเธอไปทานอาหารกลางวันอีกครั้ง
แองเจลลาไม่พอใจเป็นอย่างมาก “ นี่ ! เคลวิน ยายนี่น่ะเป็นยายเฉิ่มประจำห้องเลยล่ะ ทั้งซุ่มซ่าม ทั้งปากเสีย
ไม่มีหนุ่มคนไหนกล้าควงหรอก “ แองเจลลาพูดพลางหัวเราะ “ จริง ๆ นะ ยายนี่หน้าตาไม่ดี ยังจะซุ่มซ่ามอีก เคลวิน !
นายควรจะให้เกียรติชวนสาวสวยอย่างแองเจลลามากกว่านะ ” รอเรนซ์สนับสนุน
เคลวินคิ้วขมวดมองหน้าแองเจลลาและรอเรนซ์ “ หน้าตาเธอสองคนก็ดีนะ แต่ท่าทางจะนิสัยไม่ดี ปากเสียชะมัด
นี่หรอที่สมควรจะให้เกียรติ อลิซเป็นเพื่อนผม แล้วเธอก็ไม่พูดจาดูถูกใครแบบพวกคุณสองคนด้วย
ผมจะชวนเธอไปแล้วมันเรื่องอะไรของคุณ ……. ” ขณะนั้นเอง บางสิ่งบางอย่างกระโจนเข้ามาในจินตนาการของอลิซ …
‘ ข้าเจ้าชายคาร์ออส ให้สัตย์ปฏิญาณว่า จักปกปักษ์และคุ้มครองท่านไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
องค์หญิงเอลิซา ‘ … “ เฮ้ ! เฮ้ ! อลิซ เป็นอะไรไปหรือเปล่า “ เคลวินเรียกอลิซ เธอสะดุ้งขึ้น “ ไม่ได้เป็นอะไร ”
อลิซตอบ “ เธอนี่ สงสัยจะเฉิ่มอย่างที่เขาว่าจริง ๆ เหม่อบ่อยเหลือเกินนะ ”
เคลวินหัวเราะ อลิซมองเขาด้วยหางตาอีกครั้ง “ ขอโทษก็ได้ครับคุณผู้หญิง
ทีนี้เราสองคนจะไปหาอะไรลงท้องกันได้หรือยังล่ะ หิวจะแย่แล้ว ” เคลวินพูดขึ้น
อลิซมองไปรอบ ๆ ห้อง ทำหน้าตาฉงน “ แล้วแองเจลลากับรอเรนซ์ล่ะ หายไปไหนแล้ว ”
เคลวินส่ายหน้า “ นี่ ! คุณผู้หญิงครับ มัวแต่เหม่อถึงหนุ่มที่ไหนอยู่ล่ะ สองคนนั่นโดนว่า
จนเดินกระแทกเท้าไม่พอใจออกไปตั้งนานแล้ว ป่านนี้คงไปโวยวายด่าผมอยู่ที่ไหนสักที่นั่นแหละ “
อลิซหัวเราะเบา ๆ แล้วลุกขึ้นจากโต๊ะ “ ไปกันได้แล้วล่ะ ตอนนี้หิวมากเลย ”
เคลวินพยักหน้าแล้วลุกขึ้น อลิซสะพายกระเป๋าเป้แล้วเดินนำเขาออกจากห้อง
หลังจากทานอาหารเสร็จ เคลวินและอลิซก็เดินกลับมาที่ห้องเรียน ระหว่างทางอลิซถามคำถามกับเคลวิน
“ เคลวิน ! คือว่า … อยากจะถามอะไรนายหน่อยนะ ที่แองเจลลาเข้ามาพูดคุยกับนาย
นายไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือไง ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นนะ เขาคงจะดีใจจนออกนอกหน้าไปแล้ว
ที่ดาวโรงเรียนอย่างแองเจลลาเข้ามาคุยด้วยน่ะ ” เคลวินเอามือทั้งสองข้างของเขาซุกเข้าไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์
“ ผู้หญิงที่ชอบดูถูกคนอื่นแบบนั้นน่ะ ไม่น่ารักเอาซะเลย ” อลิซได้ฟังดังนั้น
เธอก็เริ่มรู้สึกชื่นชมในตัวเคลวินอย่างบอกไม่ถูก ผิดกับครั้งแรกที่ได้เจอกัน
แต่เธอก็ยังสงสัยอยู่ว่าเขาเป็นใครกันแน่ ทำไมเธอจึงมีภาพเขาอยู่ในความฝันทั้ง ๆ ที่เธอและเขาไม่เคยพบเจอกันมาก่อน ………
ตอนที่ 1 ----- ความทรงจำ
“ อลิซ ! อลิซ ! ตื่นได้แล้วจ้ะ แม่ว่าลูกคงไม่อยากไปโรงเรียนสายตั้งแต่เปิดเทอมวันแรกหรอก
“ เสียงตะโกนของคุณนายเชอร์ชิลจากห้องครัว ช่างกวนโสตประสาทสาวน้อยร่างเล็ก อย่างอลิซเสียจริง
“ ค่ะ…แม่ “ อลิซรับคำด้วยน้ำเสียงที่ไม่เต็มใจนัก แล้วเธอก็ดันร่างอันบอบบางขึ้นจากเตียงสีชมพูหนานุ่ม
พลางพูดกับตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์ “ น่าเบื่อจริง ๆ เลย ตื่นมาก็กลายเป็นแค่อลิซ เชอร์ชิล เด็กนักเรียนเกรด 11 อยู่ไฮสกูล
ทำไมไม่เป็นเหมือนในฝันบ้างนะ ….ข้าคือเจ้าหญิงเอลิซา พระราชธิดาแห่งจักรพรรดิผู้ครองนครบาร์บิโอส … เฮ้อ ! …
” อลิซก็คงจะเหมือนกับเด็กสาวทั่ว ๆ ไป ที่เพ้ออยู่กับความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้
“ อลิซ ! แม่เรียกลูกหลายครั้งแล้วนะ มัวมายืนเหม่ออะไรอยู่ เดี๋ยวก็ไปโรงเรียนสายหรอก ”
คุณนายเชอร์ชิลขึ้นมาตามลูกสาวจอมรั้นถึงในห้องแล้วว่าเธออย่างเสียไม่ได้ อลิซสะดุ้งจากฝันหวาน
“ หนูไม่ได้เหม่อนะคะ หนูแค่กำลังคิดอยู่ว่าจะแปรงฟันก่อนหรือจะทานอาหารเช้าก่อนดี ”
นี่เป็นคำแก้ตัวที่ฟังดูไม่เข้าท่าเลยจริง ๆ สำหรับนักเรียนเกรด 11 อย่างอลิซ คุณนายเชอร์ชิลยิ้มอย่างเอ็นดูแล้วส่ายหน้า “
แม่ว่าลูกคงต้องไปหัดโกหกมาใหม่ให้แนบเนียนกว่านี้แล้วล่ะจ้ะ รีบไปแต่งตัวเถอะ อาหารเช้าเสร็จแล้ว ”
คุณนายเชอร์ชิลออกจากห้องของอลิซแล้วเดินลงบันไดตรงไปยังห้องครัวตามเดิม …. ‘ อีฟ เชอร์ชิล ‘ แม่ผู้แสนดี
เธอคอยกวดขันและดูแลทุกข์สุขของครอบครัวเสมอ ๆ โดยเฉพาะลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนอย่างอลิซ
ซึ่งตามปกติของครอบครัวทั่ว ๆ ไปจะให้อิสระลูก ๆ ในการดูแลตนเองตั้งแต่เรียนเกรด 9
แต่คุณนายเชอร์ชิลยังคงตักเตือนและมีกฎเกณฑ์กับลูก ให้อิสระได้ในบางเรื่องที่สมควรเท่านั้น
จึงทำให้อลิซมีความคิดเป็นผู้ใหญ่ ไม่เอาแต่ใจตนเองเหมือนวัยรุ่นคนอื่น ๆ ….
อลิซแต่งตัวด้วยชุดเก่งของเธอ กางเกงยีนส์ขายาวสีน้ำเงิน เสื้อยืดแขนสั้นสีขาวเข้ารูป
พร้อมกับสะพายกระเป๋าเป้ใบใหม่เดินลงมายังห้องครัว เธอมองดูอาหารเช้าที่คุณนายเชอร์ชิลผู้เป็นแม่เตรียมไว้
อลิซมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก “ แม่คะ วันนี้ไม่มีเนยถั่วหรอ หนูไม่ชอบขนมปังทาแยมสตอเบอรี่
เพราะมันทำให้หนูนึกถึงวันงานโรงเรียนปีที่แล้ว ชวนคลื่นไส้จริง ๆ เลยค่ะ ” คือ .. เรื่องก็มีอยู่ว่า
วันงานโรงเรียนของอลิซเมื่อปีที่แล้ว ได้จัดให้มีการแข่งขันกินวิบาก ซึ่งเธอก็ลงสมัครเป็นตัวแทนของห้องเข้าร่วมแข่งขัน
กติกากำหนดไว้ว่าผู้เข้าแข่งขันจะต้องกินขนมปังทาแยมสตอเบอรี่ 30 แผ่น
ผู้ที่กินหมดเป็นคนแรกแล้ววิ่งเข้าเส้นชัยก่อนจะเป็นผู้ชนะ เมื่อเริ่มแข่งขัน อลิซก็ยัดขนมปังเข้าปากทันที
จนกระทั่งถึงแผ่นที่ 23 เธอก็เริ่มรู้สึกตัวว่ามีอาการไม่ค่อยดี ภายในร่างกายเริ่มปั่นป่วน
ในที่สุด .. ขนมปังทั้งหมดที่สวาปามเข้าไปก็พากันทะลักออกจากปากของเธอ จากนั้นเธอก็มารู้สึกตัวอีกทีในโรงพยาบาล
จึงเป็นเหตุให้อลิซขยาดกับขนมปังทาแยมสตอเบอรี่อยู่เป็นแรมปี “ ตายจริง ! แม่ขอโทษทีจ้ะ
แม่ลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิท เห็นว่าเนยถั่วหมดแม่ก็เลยเอาแยมมาใช้แทน ” คุณนายเชอร์ชิลบอกลูกสาว
“ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวหนูไปหาอะไรกินที่โรงเรียนก็ได้ เอ … แล้ววันนี้พ่อไม่ไปทำงานหรอคะ รถยังจอดอยู่ที่หน้าบ้าน ”
อลิซพูดพลางรวบผมบลอนด์ยาวของเธอมามัดด้วยที่ผูกผมสีฟ้าอันโปรด
“ วันนี้พ่อมีประชุมตอนสายจ้ะ ลูกมัวแต่ถามอยู่นั่นแหละ ไปโรงเรียนได้แล้ว
จักรยานของลูกจอดอยู่ข้าง ๆ รถพ่อ ขี่ระวัง ๆ หน่อยนะจ๊ะ ” คุณนายเชอร์ชิลเตือนลูกสาวด้วยความเป็นห่วง
“ ตอนเย็นเจอกันนะคะแม่ ” อลิซกล่าวลาแม่ แล้วออกจากบ้าน ขี่จักรยานตรงไปยังโรงเรียนอย่างกระฉับกระเฉง
ระหว่างทางนั้นเอง อลิซบังเอิญพบกับเด็กชายคนหนึ่ง ซึ่งดูจากลักษณะแล้ว คาดว่าอายุก็คงจะราว ๆ กับเธอ
ขี่จักรยานมาขนาบข้าง ๆ เธอ ใบหน้าของเขาทำให้อลิซถึงกับสะดุ้ง ด้วยเหตุว่า ในความฝันของเธอนั้นมีภาพของเขา
อลิซหวนนึกถึงเรื่องราวที่เธอฝันเมื่อคืนนี้ …… ' บุรุษผู้เชี่ยวชาญการต่อสู้ ไม่ว่าศัตรูหน้าไหน ก็จักปราบได้ภายในหนึ่งวัน '
เจ้าชายคาร์ลอส ราชโอรสแห่งจักรพรรดิซาร์ซิอุส ผู้เป็นคู่หมั้นคู่หมายแห่ง …… “ เฮ้ ! เฮ้ ! ยายเฉิ่ม ขี่จักรยานระวังหน่อยสิ ”
เด็กชายพูดขึ้น อลิซรู้สึกตัวจากภวังค์ “ นายว่าใครว่ายายเฉิ่ม ” อลิซกล่าวอย่างไม่พอใจ
“ ก็ว่าเธอนั่นแหละยายเฉิ่ม เหม่ออยู่ได้ ขี่จักรยานอยู่นะ เดี๋ยวก็ชนต้นไม้ข้างทางหรอก ”
อลิซคิ้วขมวดด้วยความโมโห แล้วปั่นจักรยานแซงขึ้นไป “ นายงี่เง่า เข้ามาอยู่ในฝันเราได้ยังไงกันนะ นิสัยอย่างนี้
หน้าตาอย่างนี้ไม่เหมาะที่จะเป็นเจ้าชายเลย เพราะนายคนเดียวทำให้ฉันนึกเรื่องไม่ออกว่าเป็นยังไงต่อ ”
อลิซพึมพำกับตนเอง
‘ กริ๊ง ! กริ๊ง ! ‘ เสียงสัญญาณเข้าเรียนคาบแรกดังขึ้น บรรดานักเรียนต่างก็รีบวิ่งเข้าชั้นเรียนนั่งที่ของตนเอง
“ สวัสดีตอนเช้าจ้ะนักเรียนทุกคน “ ครูประจำชั้นของอลิซกล่าวทักทายนักเรียนเพื่อต้อนรับเปิดเทอมในวันแรก
‘ ครูมอนตี้ ’ เป็นครูที่อลิซเคารพและชื่นชมมาก เพราะครูคนนี้ทั้งสวย ทั้งเก่ง และแสนดีเป็นที่สุด
“ นักเรียนทุกคนฟังทางนี้หน่อยนะจ๊ะ ครูมีข่าวดีจะบอก ห้องของเราจะมีนักเรียนใหม่
เขาย้ายมาจากแอล.เอ. ประเทศสหรัฐอเมริกาจ้ะ เคลวินแนะนำตัวให้เพื่อน ๆ รู้จักสิจ๊ะ ”
ครูมอนตี้เรียกเด็กชายที่ยืนหน้าห้องให้แนะนำตัว “ สวัสดีเพื่อน ๆ ผมชื่อเคลวิน ลอฟท์ ยินดีที่ได้รู้จัก ”
เด็กหนุ่มแนะนำตัวเองแล้วยิ้มอย่างเป็นมิตร ….
‘เคลวิน ลอฟท์’ นักเรียนใหม่ ซึ่งย้ายมาจากแอล.เอ. ประเทศสหรัฐอเมริกา
สาเหตุเพราะพ่อของเขาต้องมาติดต่องานที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ บ่อยครั้ง ทำให้ไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัวนัก
เขาจึงเสนอให้พ่อย้ายมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในลอนดอนเสียเลย เคลวินมักจะเป็นที่ชื่นชอบของสาว ๆ ด้วยหน้าตาที่คมเข้ม
ผิวสีขาวอมชมพู ผม บลอนด์ รูปร่างสูงโปร่ง ดูแข็งแรงทะมัดทะแมง ที่สำคัญคือเขามีฐานะร่ำรวย
อาจจะมีแค่บางคนเท่านั้นที่ไม่ค่อยถูกชะตากับเขาเท่าไหร่ นั่นก็คงไม่พ้นสาวจอมแสบอย่างอลิซ
“ อีตาหน้าแหลมจอมเก็ก ปากเสียเนี่ยนะ จะย้ายมาอยู่ห้องเรา เชอะ ! เห็นหน้าแล้วขนลุกเป็นบ้า ”
อลิซจ้องหน้าเคลวินด้วยสายตาอาฆาต “ เอาล่ะจ้ะ เดี๋ยวเคลวินไปนั่งตรงที่ว่างข้าง ๆ อลิซก็แล้วกันนะจ๊ะ ”
ครูมอนตี้กล่าวพร้อมกับชี้ทางให้เคลวิน อลิซได้ยินดังนั้นก็ชักสีหน้าไม่พอใจ “
ครูคะ หนูว่าให้เขาไปนั่งข้าง ๆ อัลเบิร์ตดีกว่า ที่ตรงนั้นก็ว่างนี่คะ ” อลิซลุกขึ้นค้านเสียงแข็ง
“ อลิซจ๊ะ ที่ตรงนั้นน่ะ เป็นที่นั่งของเดลี่ วันนี้เขาไม่มาโรงเรียน เธอก็รู้นี่จ๊ะ” ครูมอนตี้ให้เหตุผล
อลิซต้องนั่งลงสงบปากสงบคำอย่างเสียไม่ได้ เคลวินเดินมานั่งข้าง ๆ อลิซ
เขายิ้มเยาะเธอราวกับว่าตนเองเป็นพระราชา “ ไงจ๊ะยายเฉิ่ม เราเจอกันอีกแล้วนะ ยินดีที่ได้รู้จัก ”
อลิซมองเขาด้วยหางตา “ ชื่ออลิซ เชอร์ชิล ย่ะไม่ใช่ยายเฉิ่ม แล้วฉันก็ไม่ยินดีที่จะรู้จักกับนายด้วย ”
เคลวินยักไหล่ท่าทางไม่แยแสกับคำพูดของอลิซ
“ เราก็มาเริ่มเรียนวิชาแรกกันเลยนะ นักเรียนทุกคนหยิบหนังสือขึ้นมาแล้วเปิดหน้า ………… ”
‘ กริ๊ง ! กริ๊ง ! ‘ เสียงออดดังขึ้น เป็นสัญญาณว่าได้เวลาพักกลางวัน “ เฮ้อ ! ได้เวลาพักแล้ว ค่อยยังชั่วหน่อย
กำลังหิวอยู่พอดีเลย ” แองเจลลา พูดพลางเก็บหนังสือเรียนอย่างสบายอารมณ์ …. ถ้าเอ่ยถึงชื่อของสาวไฮโซอย่าง
‘ แองเจลลา ริกกัมส์ ‘ แล้วล่ะก็ คงจะไม่มีใครที่ไม่รู้จัก เพราะเธอคือลูกสาวนักธุรกิจใหญ่ในลอนดอน
เป็นนักเรียนเกรด 11 ห้องเดียวกับอลิซ มีตำแหน่งเป็นถึงดาวประจำโรงเรียน ซึ่งหนุ่ม ๆ ต่างก็พากันหมายปอง
แต่อลิซไม่ค่อยชอบหน้าเธอนัก เพราะเจ้าหล่อนเคยทำให้อลิซเสียหน้าหลายครั้งในงานบอลล์ของโรงเรียน
โดยเฉพาะครั้งที่ผ่านมา เธอถูกแองเจลลาสกัดขาบนเวทีการประกวดชุดแฟนซีจนล้มไม่เป็นท่า
เพื่อน ๆ ต่างพากันหัวเราะเยาะ และเอาชื่อเธอขึ้นบอร์ดในตำแหน่งของตัวตลกประจำงาน
หลังจากนั้นอลิซก็ไม่กล้ามาโรงเรียนถึงสองสัปดาห์ …. “ นี่ ! แองเจลลา เธอดูนั่นสิ นักเรียนใหม่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
ยายอลิซคู่ปรับเธอน่ะ หล่อมากเลยล่ะ ดูสิ ! เขามองมาที่เธอด้วยนะ ” รอเรนซ์ กระซิบบอกแองเจลลา ….
‘ รอเรนซ์ เวลสัน ’ เป็นลูกสาวบรรณาธิการหนังสือพิมพ์รายวันฉบับหนึ่ง รูปร่างของเธอออกจะท้วม ๆ ผิวขาว
ผมสีน้ำตาลแก่ โดยรวมแล้วก็เป็นผู้หญิงที่น่ารักคนหนึ่งทีเดียว
กิจวัตรประจำวันของเธอก็คือการติดสอยห้อยตามสาวไฮโซ
ดาวประจำโรงเรียน เพราะคิดว่ารัศมีความโดดเด่นของแองเจลลาจะทำให้เธอกลายเป็นที่สนใจของบรรดา
หนุ่ม ๆ บ้าง แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีหนุ่มคนไหนมาติดพันเธอสักราย
อาจมาจากสาเหตุว่า คุณเธอเป็นประเภทที่ชอบสอดรู้สอดเห็นไปเสียทุกเรื่อง
อีกทั้งยังปากร้ายจนไม่มีใครกล้าต่อปากต่อคำด้วย …. “ นี่ยายเฉิ่ม ไม่ใช่สิ !
อลิซคุณยินดีที่จะไปรับประทานอาหารกลางวันกับหนุ่มหล่อมาดเข้มอย่างกระผมหรือเปล่าครับ”
เคลวินกล่าวชวนสาวจอมแสบ อลิซเก็บหนังสือใส่กระเป๋าแล้วหันไปมองหน้าเขา
ขณะที่เธอกำลังจะตอบปฏิเสธ แองเจลลาก็เดินเข้ามาขัดจังหวะพอดี
“ สวัสดีจ้ะ เคลวิน ยินดีต้อนรับแล้วก็ยินดีที่ได้รู้จักนะ แองเจลลา ริกกัมส์ ดาวโรงเรียนจ้ะ
แล้วนี่ก็รอเรนซ์ เวลสัน เพื่อนสนิท “ แองเจลลาแนะนำ ตนเองและเพื่อนพลางกระหยิ่มยิ้มย่องมองหน้าอลิซ
“ ยินดีเช่นกันกันครับ ” เคลวินยิ้มรับแล้วเขาก็หันหน้าไปหาอลิซชวนเธอไปทานอาหารกลางวันอีกครั้ง
แองเจลลาไม่พอใจเป็นอย่างมาก “ นี่ ! เคลวิน ยายนี่น่ะเป็นยายเฉิ่มประจำห้องเลยล่ะ ทั้งซุ่มซ่าม ทั้งปากเสีย
ไม่มีหนุ่มคนไหนกล้าควงหรอก “ แองเจลลาพูดพลางหัวเราะ “ จริง ๆ นะ ยายนี่หน้าตาไม่ดี ยังจะซุ่มซ่ามอีก เคลวิน !
นายควรจะให้เกียรติชวนสาวสวยอย่างแองเจลลามากกว่านะ ” รอเรนซ์สนับสนุน
เคลวินคิ้วขมวดมองหน้าแองเจลลาและรอเรนซ์ “ หน้าตาเธอสองคนก็ดีนะ แต่ท่าทางจะนิสัยไม่ดี ปากเสียชะมัด
นี่หรอที่สมควรจะให้เกียรติ อลิซเป็นเพื่อนผม แล้วเธอก็ไม่พูดจาดูถูกใครแบบพวกคุณสองคนด้วย
ผมจะชวนเธอไปแล้วมันเรื่องอะไรของคุณ ……. ” ขณะนั้นเอง บางสิ่งบางอย่างกระโจนเข้ามาในจินตนาการของอลิซ …
‘ ข้าเจ้าชายคาร์ออส ให้สัตย์ปฏิญาณว่า จักปกปักษ์และคุ้มครองท่านไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
องค์หญิงเอลิซา ‘ … “ เฮ้ ! เฮ้ ! อลิซ เป็นอะไรไปหรือเปล่า “ เคลวินเรียกอลิซ เธอสะดุ้งขึ้น “ ไม่ได้เป็นอะไร ”
อลิซตอบ “ เธอนี่ สงสัยจะเฉิ่มอย่างที่เขาว่าจริง ๆ เหม่อบ่อยเหลือเกินนะ ”
เคลวินหัวเราะ อลิซมองเขาด้วยหางตาอีกครั้ง “ ขอโทษก็ได้ครับคุณผู้หญิง
ทีนี้เราสองคนจะไปหาอะไรลงท้องกันได้หรือยังล่ะ หิวจะแย่แล้ว ” เคลวินพูดขึ้น
อลิซมองไปรอบ ๆ ห้อง ทำหน้าตาฉงน “ แล้วแองเจลลากับรอเรนซ์ล่ะ หายไปไหนแล้ว ”
เคลวินส่ายหน้า “ นี่ ! คุณผู้หญิงครับ มัวแต่เหม่อถึงหนุ่มที่ไหนอยู่ล่ะ สองคนนั่นโดนว่า
จนเดินกระแทกเท้าไม่พอใจออกไปตั้งนานแล้ว ป่านนี้คงไปโวยวายด่าผมอยู่ที่ไหนสักที่นั่นแหละ “
อลิซหัวเราะเบา ๆ แล้วลุกขึ้นจากโต๊ะ “ ไปกันได้แล้วล่ะ ตอนนี้หิวมากเลย ”
เคลวินพยักหน้าแล้วลุกขึ้น อลิซสะพายกระเป๋าเป้แล้วเดินนำเขาออกจากห้อง
หลังจากทานอาหารเสร็จ เคลวินและอลิซก็เดินกลับมาที่ห้องเรียน ระหว่างทางอลิซถามคำถามกับเคลวิน
“ เคลวิน ! คือว่า … อยากจะถามอะไรนายหน่อยนะ ที่แองเจลลาเข้ามาพูดคุยกับนาย
นายไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือไง ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นนะ เขาคงจะดีใจจนออกนอกหน้าไปแล้ว
ที่ดาวโรงเรียนอย่างแองเจลลาเข้ามาคุยด้วยน่ะ ” เคลวินเอามือทั้งสองข้างของเขาซุกเข้าไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์
“ ผู้หญิงที่ชอบดูถูกคนอื่นแบบนั้นน่ะ ไม่น่ารักเอาซะเลย ” อลิซได้ฟังดังนั้น
เธอก็เริ่มรู้สึกชื่นชมในตัวเคลวินอย่างบอกไม่ถูก ผิดกับครั้งแรกที่ได้เจอกัน
แต่เธอก็ยังสงสัยอยู่ว่าเขาเป็นใครกันแน่ ทำไมเธอจึงมีภาพเขาอยู่ในความฝันทั้ง ๆ ที่เธอและเขาไม่เคยพบเจอกันมาก่อน ………
ป้ายกำกับ:
Stories reminder
รักแท้ แพ้ใกล้ชิด จริงเหรอ
olivine
คู่รักบางคู่เลิกกันเพราะอยู่ห่างกัน...อย่างที่เคยกล่าวไปแล้วว่ารักแท้..จะไม่มีวันจบลงง่ายๆเพราะความห่างไกล
ความรัก..ไม่ได้เพียงแค่ต้องการดูแลใกล้ชิด การเอาใจใส่
การสัมผัสและการได้เห็นหน้ากันตลอดเวลา ความรัก..มันเป็นความผูกพัน..
ไม่ว่าต่างฝ่ายจะต้องแยกย้ายไปอยู่ไหน...แต่ในหัวใจหากยังระลึกถึงกันเสมอ.. ยังเป็นความห่วงใยกัน
มันจะมีเส้นใยที่ยังโยงถึงกันได้และเป็นเส้นใยที่ยาวมากพอจนสามารถโยงได้แม้คน
ละโลกแต่หากความรักของเธอต้องจบลง..เพียงเพราะใครคนใดคนหนึ่งอยู่ห่างคนอีกคนแ ละมีคนอีกคนเข้ามาใกล้ชิดคนๆ นั้น
แสดงว่า... คน ๆ นั้นไม่ได้มีความรักที่แท้จริง..เพียงแต่เขามีความต้องการการเอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิดเท่านั้นเอง...
เพราะหากเขาซึมซับได้อย่างรวดเร็วจนลืมคนอีกคนที่อยู่ฟากหนึ่งได้..
.ความรักของเขาก็เป็นเพียงน้ำแข็งที่ดื่มแล้วชื่นใจแต่เมื่อวางทิ้งไว้ก็กลายเป็นน้ำเปล่า
...มีคนเคยวิเคราะห์กันว่า..
ผู้ชายมักเป็นฝ่ายจากไปก่อนเสมอเมื่ออยู่ห่างจากคนรัก..เพราะผู้ชายมักต้องการ
การเอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิดและมีความอดทนน้อย
เมื่อความรักมันล้นอกแต่ไม่ได้รับการตอบสนองอย่างรวดเร็วก็จะต้องหาทางเอาถ่ายเทไปยังผู้อื่นและเมื่อมีใครเข้ามาในเวลานั้น
โดยเฉพาะคนที่มีอะไรหลาย ๆอย่างถูกใจเขาก็สามารถถ่ายเทมันให้กับเธอผู้นั้นได้
เธอเชื่ออย่างหนึ่งไหมว่า... ...เมื่อเวลาผ่านไป
แม้เขาจะไปเจอคู่แท้แต่เธอจะเป็นคนที่อยู่ในความทรงจำที่ดีของเขาไปอีกนาน...
..แต่หากความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นกับเขาเป็นเรื่องของอารมณ์เหงาชั่วระยะเวลาหนึ่ง
วันหนึ่งเขาจะพบเองว่า
ผู้หญิงคนนั้นไม่สามารถทำให้เขารู้สึกรักได้เหมือนเธอ...
แล้วเขาจะกลับมาหาเธอสิ่งที่เขาได้เรียนรู้จะทำให้เขาเข้าใจรักแท้และกลับมาอย ่างมั่นคง..
. ..ณ ตอนนั้นก็อยู่ที่เธอว่า..จะยินดีต้อนรับเด็กหนีเที่ยวให้เข้าบ้านได้ไหม
ถ้าเธอยังรักเขาอยู่ เธอพิสูจน์ได้แล้วอย่างหนึ่งว่า..
ต้องปล่อยให้เขาออกจากบ้านไปก่อนแล้วเขาจะรู้ว่านอกบ้านกับในบ้าน...
...ที่ไหนอบอุ่นกว่ากัน.. ถ้าคุณอ่านแล้วเห็นว่า
น่าส่งต่อให้กับคนที่กำลังหาคำตอบของคำว่า
***** รักแท้..แพ้ใกล้ชิด *****
คู่รักบางคู่เลิกกันเพราะอยู่ห่างกัน...อย่างที่เคยกล่าวไปแล้วว่ารักแท้..จะไม่มีวันจบลงง่ายๆเพราะความห่างไกล
ความรัก..ไม่ได้เพียงแค่ต้องการดูแลใกล้ชิด การเอาใจใส่
การสัมผัสและการได้เห็นหน้ากันตลอดเวลา ความรัก..มันเป็นความผูกพัน..
ไม่ว่าต่างฝ่ายจะต้องแยกย้ายไปอยู่ไหน...แต่ในหัวใจหากยังระลึกถึงกันเสมอ.. ยังเป็นความห่วงใยกัน
มันจะมีเส้นใยที่ยังโยงถึงกันได้และเป็นเส้นใยที่ยาวมากพอจนสามารถโยงได้แม้คน
ละโลกแต่หากความรักของเธอต้องจบลง..เพียงเพราะใครคนใดคนหนึ่งอยู่ห่างคนอีกคนแ ละมีคนอีกคนเข้ามาใกล้ชิดคนๆ นั้น
แสดงว่า... คน ๆ นั้นไม่ได้มีความรักที่แท้จริง..เพียงแต่เขามีความต้องการการเอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิดเท่านั้นเอง...
เพราะหากเขาซึมซับได้อย่างรวดเร็วจนลืมคนอีกคนที่อยู่ฟากหนึ่งได้..
.ความรักของเขาก็เป็นเพียงน้ำแข็งที่ดื่มแล้วชื่นใจแต่เมื่อวางทิ้งไว้ก็กลายเป็นน้ำเปล่า
...มีคนเคยวิเคราะห์กันว่า..
ผู้ชายมักเป็นฝ่ายจากไปก่อนเสมอเมื่ออยู่ห่างจากคนรัก..เพราะผู้ชายมักต้องการ
การเอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิดและมีความอดทนน้อย
เมื่อความรักมันล้นอกแต่ไม่ได้รับการตอบสนองอย่างรวดเร็วก็จะต้องหาทางเอาถ่ายเทไปยังผู้อื่นและเมื่อมีใครเข้ามาในเวลานั้น
โดยเฉพาะคนที่มีอะไรหลาย ๆอย่างถูกใจเขาก็สามารถถ่ายเทมันให้กับเธอผู้นั้นได้
เธอเชื่ออย่างหนึ่งไหมว่า... ...เมื่อเวลาผ่านไป
แม้เขาจะไปเจอคู่แท้แต่เธอจะเป็นคนที่อยู่ในความทรงจำที่ดีของเขาไปอีกนาน...
..แต่หากความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นกับเขาเป็นเรื่องของอารมณ์เหงาชั่วระยะเวลาหนึ่ง
วันหนึ่งเขาจะพบเองว่า
ผู้หญิงคนนั้นไม่สามารถทำให้เขารู้สึกรักได้เหมือนเธอ...
แล้วเขาจะกลับมาหาเธอสิ่งที่เขาได้เรียนรู้จะทำให้เขาเข้าใจรักแท้และกลับมาอย ่างมั่นคง..
. ..ณ ตอนนั้นก็อยู่ที่เธอว่า..จะยินดีต้อนรับเด็กหนีเที่ยวให้เข้าบ้านได้ไหม
ถ้าเธอยังรักเขาอยู่ เธอพิสูจน์ได้แล้วอย่างหนึ่งว่า..
ต้องปล่อยให้เขาออกจากบ้านไปก่อนแล้วเขาจะรู้ว่านอกบ้านกับในบ้าน...
...ที่ไหนอบอุ่นกว่ากัน.. ถ้าคุณอ่านแล้วเห็นว่า
น่าส่งต่อให้กับคนที่กำลังหาคำตอบของคำว่า
***** รักแท้..แพ้ใกล้ชิด *****
ป้ายกำกับ:
Stories reminder
มองโลกในแง่ดี
@ เพื่อนนินทา เพื่อนนินทาเรา แสดงว่าเราต้องมีดีอะไรสักอย่าง จนเพื่อนมันอิจฉาอย่างนี้เราน่าจะภูมิใจตัวเอง
แทนที่จะไปโกรธเพื่อนคนนั้น พูดง่ายๆ เขาไม่มีจุดเด่นเหมือนเราเขาจึงนินทาว่างั้นเหอะ
@ ส่งยิ้มให้เธอแล้ว ไม่แยแส
ยังดี..นะเนี่ย ที่เธอไม่ด่ากลับมา นี่แสดงว่าเธอยังมีน้ำใจดีอยู่บ้างโอ..
ซาบซึ้งเหลือเกิน ถึงเราจะแห้ว..แต่เราก็ยังประทับใจในความดีของหล่อน
@ โดนแม่ด่าแต่เช้าตรู่
แม่ด่าเรา แสดงว่าแม่ยังรักและห่วงใยเราอยู่ โห..ซาบซึ้งมากเลย อีกอย่างหนึ่งในคำด่าของแม่ต้องมีอะไรดีๆ
ซ่อนไว้แน่ ๆ ไม่อย่างนั้นแม่ไม่ด่าซ้ำ ๆ เรื่องเดิม ๆ อย่างนี้หรอก
@ ครูสอนไม่รู้เรื่องเลย
ท้าทายมาก ..ท้าทายมาก นี่หมายความว่าคุณครูกำลังท้าทายเรา ว่าถ้าข้าสอนห่วยๆ แบบนี้
เอ็งจะรู้เรื่องหรือเปล่า อย่างนี้ยอมไม่ได้..เราต้องขวนขวายเอาเอง เพื่อพิสูจน์กึ๋นให้คุณครูรู้ว่าเรานี้ก็ไม่เบาเหมือนกาน..น
@ เพื่อนหักหลัง
ไม่เป็นไร..ขอกันกินมากกว่านี้ แต่น่าสงสารนายนะ เพราะนิสัยของนาย
คงจะทำให้นายต้องเสียเพื่อนไปหมดทุกคนในไม่ช้า เพราะคงไม่มีใครหรอกที่จะไว้ใจคนที่หักหลังเพื่อน.
@ เพื่อนล้อว่าเสี่ยว
โห..! ตัวเรานี่มีอะไรดีๆ เยอะแยะ แต่พวกนายกลับมองไม่เห็นคุณค่าสงสัยว่าการมองโลกของพวกนาย
คงจะมีปัญหาแล้วล่ะ เสียใจด้วยนะ.ที่นายคงหมดโอกาสจะได้คบกับคนดี ๆ อย่างเรา
@ เช็คเมล์เจอแต่จดหมายขยะชวนดูรูปโป๊
ทดสอบ ๆ ทดสอบพลังจิต ถ้าเราลบเมล์พวกนี้ทิ้ง แสดงว่าจิตใจของเราเข้มแข็ง
ถ้าเปิดดู ก็อ่อนแอ (เผลอ ๆ โดนหลอกให้เปิดไวรัสอีกต่างหาก อิอิ)
@ วันหยุดการบ้านเพียบ
สบายมาก..คุณครูกำลังท้าทายความสามารถของเรา(อีกแล้ว) เรารู้ทันหรอกน่า
การบ้านเยอะอย่างนี้เราก็ว่าดีนะ เพราะได้ฝึก ตัวเองให้เป็นคนสู้งานหนัก ถ้าเราสู้ไม่ถอยในวันนี้ อนาคตไปโลด
@ อกหักอีกแล้ว
ไม่เป็นไร ได้เรียนรู้ชีวิต นี่ป็นการพิสูจน์สัจจธรรมอีกครั้งว่า รักแท้คือแม่เรา ว่าแต่ตัวเราเอง
คอยปรับปรุงตัวเองให้ดีๆ เหอะ ชีวิตดีขึ้นเดี๋ยวก็มีคนมาชอบเราเองแหละ
@ รถติดหงุดหงิดๆ
นั่งสมาธิมันเสียเลย จิตใจสว่างไสว เรียนหนังสือจะได้จำแม่น ง่ายจะตาย หลับตาหายใจเข้าออกลึก ๆ
นับ 1 2 3 4 5 ดูลมหายใจเข้าออกเพลิน ๆ ไม่ต้องไปรอคอยอะไร
@ โห..ใช้เงินเพลินหมดเรียบเลย
" เงินหมด ก็อดอย่างเสือ" ดีสิ..จะได้ฝึกนิสัยอดทนสักระยะ ยังมีคนอื่นที่ทุกข์มากกว่าเราเยอะแยะ
ทุกข์ของเรามันแค่เรื่องขี้ผง
@ เพื่อนมีมือถือ แต่เราไม่มี
โชคดีแล้วล่ะที่ไม่มี มือถือเนี่ยตัวดูดเงินเลย วัยรุ่นบางคน เมาท์จนล้มละลาย
อย่าเห่อไปตามกระแสหน่อยเลย ชีวิตนี้ไม่ได้ดีขึ้นเพราะมือถือหรอกนะ
@ เราหน้าตี๋ กลม ๆ เหมือนดวงจันทร์ ..อายจัง
โด่..หล่อจะตาย สมัยก่อนนู้น เขาคลั่งไคล้มาก ขนาดที่เมืองจีน เวลาปั้นพระพุทธรูป
เขายังปั้นให้หน้าอูม ๆ เลย จริงอยู่สมัยนี้เขานิยมคนหน้าตาแบบลูกครึ่งฝรั่ง
แต่อีกหน่อยก็เลิกฮิต เชื่อเหอะ ไม่แน่นะ ในอนาคตแฟชั่นหน้าตี๋อาจจะกลับมานิยมอีกก็ด้าย..
.อ้อ ! อีกอย่างสมัยนี้ สาว ๆ ที่ฉลาด เขาชอบคนดีมากกว่าคนหล่อ นะจะบอกให้
@ ชอบเขา แต่เขาไม่ชอบเราง่ะ
ธรรมดาเลย.. ปิ๊งใครง่าย ๆ มันก็ต้องกิน"แห้ว"ประจำ ที่จริงชีวิตของเรานั้นมีคุณค่ามากนะ
จะปล่อยให้เรื่องเล็กๆ แค่นี้มาทำให้ชีวิตของเราไร้ค่าได้อย่างไร ทำตัวเองให้มีค่า
ดีกว่า เดี๋ยวก็มีคนดี ๆ มาชอบเราเองหรอกน้า..า
@ เฮ้อ ! แฟนดูรูปโป๊ประจำ
ดูเข้าไปเลย..เห็นพระท่านว่าพวกผู้ชายที่ชอบดูรูปโป๊มาก ๆ ชาติหน้าพวกนี้จะไปเกิดเป็นผู้หญิงกันหมด
เพราะจิตใจฝักใฝ่แต่รูปร่างผู้หญิง ดีสม..! ชอบเอา เปรียบกันนักไปเกิดเป็นผู้หญิงเองเสียบ้าง
จะได้รู้สึก (เขาเรียกว่าไป "ที่ชอบๆ" ฮิ ฮิ)
@ ผิดหวังผลสอบดูหนังสือแทบตายได้แค่ เกรด B
เรียนแล้วได้วิชาความรู้ มันก็เหมือนทำงานแล้วได้เงินเดือน การได้เกรด A ก็คล้ายๆ
กับว่าเราได้โบนัส ทีนี้ถึงเราจะไม่ได้โบนัส มันก็ไม่น่าจะเสียใจอะไร ก้อเราได้เงินเดือนแล้วนี่นา
@ เข้าคิวซื้อตั๋วหนังอยู่ดีๆเพื่อนเล่นแซงคิวหน้าตาเฉย
โถ.. ! น่าสงสาร ยอมเสียนิสัย เพื่อแลกกับตั๋วหนังเพียงใบเดียว
@ ข้างห้องเปิดเพลงเสียงดังหนวกหูทั้งวัน
เสียงภายนอกดังสนั่น แต่เสียงภายในเงียบสนิท ถึงเสียงวิทยุจะดังปานใด
แต่ใจฉันก็ไม่เคยหงุดหงิด ฉันยังคงทำงานของฉันไปอย่างมีความสุข
@ คนชอบมาแซวเราว่า"น้องดำ ดอทคอม"
ผิวอย่างฉันเขาเรียกว่า "คมขำ" ย่ะ หนุ่มๆ ฝรั่งหลงใหลจะตายไป
พวกนายคงโดนโฆษณาหลอกแล้วล่ะ"ฉันคือตัวฉัน" ไม่ต้องให้ใครมาจูงจมูกหรอกนะ
@ เฮ้อ..! ไม่รู้จะทำอะไรดีเซ็ง..ง ระเบิด !
แอ็คทีฟเข้าไว้เพื่อน อย่าให้ความเซ็งเข้าครอบงำ ทำทุกอย่างด้วยความกระฉับกระเฉง
หนึ่ง สอง..ๆๆๆ หาอะไรทำให้มันสนุก หนึ่ง สอง... ๆๆ
@ รู้สึกว่าตัวเองโง่โดนคนอื่นหลอกอยู่เรื่อย
นึกว่าตัวเองโง่ ยังดีกว่านึกว่าตัวเองฉลาด พระท่านว่าคนฉลาดคือคนที่รู้ตัวเองว่าโง่นะ
(แต่อย่าเผลอไปโดนเขาหลอกอีกล่ะ อิ อิ)
@ เพื่อนเห็นแก่ตัวกินไหนกินด้วยแต่ไม่เคยช่วยสักบาท
เฮ้อ..นึกว่าช่วยชีวิตเพื่อนให้รอดไปได้สักมื้อก็แล้วกัน ได้บุญดีนะ (แหะๆ....แต่นาน ๆ เจอกันสักที ก็แล้วกัน)
@ กลุ้มใจจังไม่มีใครมาจีบ
"กลุ้มใจ" ไม่มีคนมาจีบ มันยังดีกว่า "ช้ำใจ" ที่โดนคนมาหลอก ถ้าอยากจะพบรักแท้ มันก็ต้องอดทนไว้ก่อนนะเธอ
@ หน้าเป็นสิวไปไหนมาไหนอายเพื่อน
วัยรุ่นมีสิวน่ารักจะตายไป เออถ้าคนแก่มีสิวสิ ค่อยน่าอายหน่อย
พวกบริษัทขายยาแก้สิวทั้งหลายนี่แหละตัวดี ชอบโฆษณาทำร้ายจิตใจวัยรุ่นดีนัก
ระวังตัวใว้ดีๆเหอะ ชาติหน้ากรรมสนอง ไปเกิดเป็น "ท้าวแสนปม" ไม่รู้ด้วย อิอิ
@ ทำตังค์ตกหาย 500 แง..!
ไม่เป็นไร..คิดเสียว่าเสียค่าหน่วยกิต วิชา "ละเอียดรอบคอบระมัดระวัง"
ก็แล้วกัน นี่ถ้าชีวิตเรามีความรอบคอบมากขึ้น เพราะเงิน หายในคราวนี้ ก็นับว่าคุ้มค่ามากเลยทีเดียว
@ พ่อแม่ชอบเห็นเราเป็นเด็กตลอดชาติ
ถึงใครจะมองเราว่าเป็นเด็ก แต่เราก็จะเคารพตัวเองว่าเรานั้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ผู้ใหญ่คือคนที่ไม่ทำอะไรตามใจตนเอง แต่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความรอบคอบ
ใคร่ครวญด้วยสติปัญญา (เอ...ชักยากแฮะ หรือว่าจะยอมเป็นเด็กเหมือนเดิมดีกว่าม้าง...ง )
@ อิจฉาเพื่อนแฟนมันสวยอะ
มีแฟนสวยก็ยินดีด้วย แต่เราว่ามีแฟนนิสัยดีดูแลเอาใจใส่ดี แบบนี้สุดยอดกว่านะ
@ รักเธอแต่ว่าไม่กล้าเอ่ยปาก
อย่างนี้ต้องซ้อมบอกรักกับคนอื่นให้เกิดความเคยชินเสียก่อน พ่อคับ ผมรักคุณพ่อมากคับ
.. แม่คับ ผมรักคุณแม่มากคับ .. ไอ้ตูบ ข้ารักเอ็งมากนะ .. เฮ้ย..เจ้าศักดิ์ เรารักนายจริงๆ ว่ะ .. ฯลฯ
อิอิ.. ทีนี้พอพูดคล่องแล้วจึงค่อยไปบอกรักกะเธอ
@ ช่วยเพื่อนแทบตายแต่เพื่อนยังคิดร้ายกะเราอีก
เฮ้อ..คิดว่าช่วยเสือตกน้ำให้รอดตายสักตัวก็แล้วกัน เสือเนี่ยนะ ถึงเราช่วยมัน แต่ถ้าเราเข้าใกล้มัน
มันก็กัดเราอยู่ดี คงต้องปล่อยเข้าป่าไป เจ้าเพื่อนคนนี้ก็เหมือนกัน ฉันช่วยแกแค่เอาบุญ
แต่คราวหน้าคงไม่ช่วยแล้วล่ะ ปรับปรุงตัวเองให้นิสัยดีกว่านี้ก่อน แล้วค่อยมาว่ากันใหม่
@ พอแฟนเจอคนที่รวยกว่าเธอบอกเลิกกับผมทันที
อย่างนี้เรียกว่า..โชคดีที่เลิกกัน จริงๆ นะ ..คนที่เห็นเงินทองสำคัญกว่าความรักอย่างเงี้ยะ
ขืนได้แต่งงานด้วย รับรองว่าเจอปัญหาตลอดชีวิตแน่เราโชคดีแล้วล่ะ ที่แคล้วคลาดออกมาได้
@ เหงามากขอบอก
มองรอบๆ ดู .. อะไรต่ออะไรล้วนแต่เป็นเพื่อนคอยช่วยเหลือเราทั้งน้าน.น โต๊ะก็เพื่อนเรา
เก้าอื้ก็เพื่อนเรา หน้าต่างก็เพื่อนเรา หนังสือก็เพื่อนเรา แก้วน้ำก็เพื่อนเรา ฯลฯ...(สามชั่วโมงผ่านไป) .....ฯลฯ
หมาก็เพื่อนเรา ต้นหญ้าก็เพื่อนเรา ท่อระบายน้ำก็เพื่อนเรา ตู้ไปรษณีย์ก็เพื่อนเรา... ฯลฯ .... (ต่อไปอีกห้าชั่วโมง)..... ฯลฯ
@ เพื่อนกวนยียวนมากอยากชกสักที
โด่..คนกวนๆ แบบนี้ไปที่ไหนก็มีคนอยากชกกันทั้งนั้น เราจะต้องไปชกเองทำไมให้เจ็บมือ
เดี๋ยวก็มีคนอื่นชกให้เองแหละ แต่ดูๆแล้วก็น่าสงสารนะ...โถ..! เกิดมาชาตินี้มีแต่คนอยากชก
@ อยากตัดใจจากคนรักค่ะทรมานใจมากอยากทำใจให้ไวสุดๆ
ทุกครั้งที่นึกถึงเขาให้ทำอย่างนี้ดิ " หายใจเข้าลึกๆ นึกถึงเขา(คนนั้น) หายใจออกยาว ๆ
สลายภาพของเขาใหัหายไป " แล้วก็พูดในใจว่า "โอ้..! ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่ใช่ของเรา
มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย " (จับฝึกกรรมฐานเสียเลย อิอิ )
@ พ่อบังคับผมจะให้สอบเอ็นฯติดให้ได้..เครียดมาก
โอเคครับ...ผมจะพยายามเพื่อพ่อ แต่ผมขอเวลาทำอะไรเพื่อตัวผมเองบ้างนะครับ
อ้อ..! ถ้าเอ็นฯไม่ติด ก้อไม่ว่ากันนะครับ เพราะสุดฝีมือแล้ว แต่พ่อไม่ต้องห่วงอนาคตของผมหรอกครับ
เพราะถึงผมจะเอ็นฯไม่ติด ผมได้เตรียมหนทางของผมไว้แล้ว รับรองไปได้สวยอย่างแน่นอนครับ
@ นอนไม่หลับกระสับกระส่าย
ฮ้าว..ว (หาว) แล้วส่งกระแสจิตไปยังสัตว์โลกแบบนี้ดิ หนึ่ง.. ฉันรักแมว สอง..ฉันรักหมา
สาม..ฉันรักยีราฟ สี่...ฉันรักหนอน ห้า...ฉันรักสิงโต หก...ฉันรักนก เจ็ด.. ฉันรักเม่น.... ฯลฯ
( ส่งความรักไปถึงสัตว์โลกอย่างนี้เรื่อยๆ สักร้อยตัว รับรองประเดี๋ยวก็..คร้อกก..ก)
@ เพื่อนรักต่อหน้าทำดีกับเราแต่ลับหลังเผาเราเซียะไม่มีดี
ไม่เป็นไร..เราให้อภัย เพราะนายเคยทำดีกะเราไว้เยอะ เอาเป็นว่าถ้านายเลิกนิสัยนี้ได้เมื่อไหร่
เราทั้งสองคน ค่อยมาคบกันใหม่นะ ...สวัสดี ( โห..! เลิกคบเลย )
@ ท้อใจอยากโดดตึก
ขืนโดดก็โง่ดิ .. โด่....ชีวิตนี้มันก็แค่แบบฝึกหัดเล่มใหญ่ ปัญหาผ่านมาเดี๋ยวมันก็ผ่านไป
มันมาแวะทักทายเราให้ลองแก้ไขดูเท่านั้นเอง แก้ปัญหาไม่ได้ ก็เรียนรู้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เจอทางออก ยอมแพ้ได้ไง
@ เพื่อนชอบพูดข่มเราประจำ
คนมีปมด้อยมาก ๆ ก็อย่างนี้แหละ ชอบข่มคนอื่นให้ด้อย
เพื่อตัวเองจะได้เด่น เราไม่ถือสานายหรอก เอาไว้นายเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น นายก็จะรู้เอง
@ เวลาอยู่ต่อหน้าคนเยอะๆรู้สึกประหม่า ๆไม่ค่อยเชื่อมั่นในตนเอง
เวลายืนอยู่ในกลุ่มเพื่อนๆ ให้คิดอย่างนี้ดิ " ฉันคือราชสีห์ผู้สง่างาม ยืนอยู่ท่ามกลาง
หมู่สัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลาย ( ก็เพื่อน ๆ ไง ) นั่น ยีราฟ (คนสูง ๆ ) โน่น ฮิปโป้ (อิ อิ) นู่น เม่น (คนผมแข็ง ๆ) ฯลฯ "
..เดี๋ยวก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาเองแหละ
@ เกิดมาจนโธ่ ! คนอย่างเรา
เกิดมาจน ก็ได้เปรียบน่ะสิ เพราะได้มีโอกาสสร้างเนื้อสร้างตัว ด้วยลำแข้งของตัวเองจริง ๆ
ชีวิตจะแข็งแกร่งกว่าคนที่เกิดมาสบาย ๆ ตั้งแต่เด็ก แหม..ได้เปรียบแล้ว ยังมาทำบ่นอีก
@ เพื่อนจะขายตัวบอกว่าไม่เห็นจะหนักหัวใครเลย
ช่าย..ย ..เราก้อเห็นด้วยกับเธอนะ นั่นไง เจ้า HIV ยังพยักหน้าเห็นด้วยเลย
@ เรา"นมเล็ก"อยากใหญ่กว่านี้ทำไงดีอะ
เล็กๆ กระทัดรัด น่ารักนะจะบอกให้ แล้วอีกอย่าง ธรรมชาติของผู้ชายเนี่ย เขาต้องการความอบอุ่น
จาก "การดูแลเอาใจใส่" ต่างหาก ไม่ใช่จาก "หน้าอกใหญ่ ๆ "
@ เรียนหนังสือยังไงให้เป็นเลิศและไม่ให้เครียดครับ
คิดอย่างนี้ทุกวัน รับรองเป็นเลิศ"ฉันจะตั้งใจเรียนอย่างจริงจัง ฉันจะขยันอย่างไม่หยุดหย่อน
ฉันจะค้นคว้าด้วยความอยากรู้จริง ๆ และ...ฉันจะไม่แข่งขันกับใคร นอกจากแข่งขันกับตัวเอง "
@ ไม่รู้เป็นอะไรอยากได้โน่นได้นี่ตลอดเวลาแต่ไม่มีเงิน แหะๆ
"อยากได้โน่นอยากได้นี่" มีแต่เสียเงินลูกเดียว " อยากทำโน่นอยากทำนี่ "
ดีกว่า สนุกดี แฮปปี้ตลอดวัน แถมไม่ต้องเสียเงินสักบาท
@ แง ... เพื่อนไม่สนใจเราเลยทำดีเอาใจทุกอย่างแล้วนะ
ทำดีเพื่อให้คนอื่นมาสนใจมันก็เหื่ยวแห้งอย่างนี้แหละเธอ เป็นแม่พระดีกว่านะ...
ดูแลเพื่อน ๆ เหมือนอย่างกับแม่ที่ดูแลลูก ให้ความอบอุ่นอย่างทั่วถึง แล้วแอบยิ้มอยู่คนเดียวเงียบ ๆ
....เฮ้อ ! เห็นคนอื่นมีความสุข แล้วก้อสบายใจ
@ ถ้าหนูจะต้องทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำเช่น ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน(อ้าว ! )
ทำยังไงไม่ให้ขี้เกียจ ให้คิดดูว่า เราจะได้อะไรจากงานที่ทำนี้บ้าง คิดไปเรื่อย ๆ
จนเกิดความรู้สึก "อยากทำ" เช่น "ล้างส้วม" เราได้อะไรบ้าง โห !เยอะแยะ
1."ได้ออกกำลัง" ดีจังเรายิ่งอ้วน ๆ อยู่ด้วย
2."ได้เสียสละ" เพื่อพ่อแม่จะได้เข้าห้องน้ำอย่างมีความสุข
3. "ได้ฝึกอดทน" โตขึ้นเราจะได้แข็งแกร่ง ลุยได้ทุกที่
4. "ได้บุญ" ใครเห็นห้องน้ำสะอาด เขาก็จะสบายใจ เราก้ออิ่มบุญ
ฯลฯ ..(คิดไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก้อทนไม่ไหว อยากจะไปทำเองแหละ)
@ ช่วยตัวเองบ่อยมากทำไงให้ลดลง
เบรคตัวเองแรง ๆ ดิ เช่น .. " ไม่คุ้มเลย.. สุขวูบเดียว เพลียไปทั้งวัน...
มันก็แค่อร่อยเหมือนแทะเนื้อติดกระดูก แทะยังไงก็ไม่อิ่ม ... ไม่มีปัญญาคิดสร้างสรรค์ความสุขอื่น ๆ
แล้วหรือไง ถึงได้จมอยู่แต่เรื่องพวกนี้... เราวุ่นกับมัน มันก็วุ่นกับเรา ไม่เป็นอิสระสักที " ฯลฯ
(ถ้าคิดแล้วยังเอาไว้ไม่อยู่ ก็ตามบายเหอะ มันไม่เสียหายอะไรนักหรอก)
@ คืนนี้ อยู่คนเดียวกลัวผีอะบรื๋วว..ว์
นี่พวกผี ตอนนี้ฉันกำลังสวดนะโม ตัสสะ ฯ อยู่นะ เตือนไว้ก่อนว่าพระพุทธเจ้าท่านกำลังประทับอยู่ในใจฉัน
ผีตัวไหนอย่าอุตริโผล่ขึ้นมาหลอกล่ะ บาปกรรมหัวแตกเป็นเจ็ดเสี่ยงไม่รู้ด้วยนะเออ
@ คนตามจองล้างจองผลาญกลั่นแกล้งเราไม่ยอมเลิก
" เจ้ากรรมนายเวร" ภาค 2 ชัวร์ !! อย่างนี้ยิ่งตอบโต้ยิ่งเกมยาว (ถึงชาติหน้า)
เจ๊ากันไปดีกว่า เอาเป็นว่าจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เรื่อยๆ ศัตรูได้ส่วนบุญเยอะ ๆ เดี๋ยวก็เลิกรากันไปเองแหละ
@ กระเป๋ารถเมล์สายที่นั่งประจำพูดจาไม่สุภาพฟังแล้วไม่สบอารมณ์เลย
น่าเห็นใจนะอาชีพนี้ นี่ถ้าฉันลองไปทำดูบ้าง ฉันก็คงจะเครียด และต้องแสดงอาการกริยาแบบนี้แหละ
@ ทำตัวดีไม่เป็นภัยกับใครแต่กลับถูกใส่ร้ายป้ายสี
ภูผาหินไม่กลัวพายุร้าย เราบริสุทธิ์ใจเสียอย่าง จะไปหวั่นไหวอะไรกะอีแค่ลมปาก
เขาพูดป้ายสี สีก็เลอะที่ปากเขาสิ เราไม่เกี่ยว..
@ ผมเป็นคนจับจดทำงานอะไรไม่เคยสำเร็จชาตินี้จะเอาดีกะเขาได้มั้ยเนี่ย
นึกถึงภาระกิจที่จะต้องทำแล้วคิดด้วยความมั่นใจว่า " เข้ามาเล้ย..ย งานน่ะ ไม่กลัวอยู่แล้ว
(ทุบกำปั้นบนฝ่ามือ) เรามั่นใจ ทำได้แน่ไม่เลี่ยง ไม่หนี ลุยลูกเดียว " (คิดทั้งวันทั้งคืน ชาตินี้จะไม่มีวันเป็นคนจับจด)
@ นิสัยตัวเองไม่ดีชอบจ้องจับผิดคนอื่น
" มิน่าเล่า เราถึงไม่มีเพื่อนที่ดีเหลือเลยสักคน จับผิดตัวเองดีกว่า สนุกกว่ากันเยอะเลย "
@ ติดเกมงอมแงมเสียการเสียงานอยากเลิก แต่เลิกไม่ได้
พูดท้าทายตัวเองดิ เช่น" เล่นเกมสนุก แต่ไม่มีสาระ เสียเวลาไปเปล่าๆ ไหนเก่งจริง
ลองทำงานให้สนุกเหมือนเกมดูซิโด่...ทำได้หรือเปล่า มีปัญญาอ๊ะป่าว "
@ ทำสิ่งที่ไม่ดีบางอย่างมา(ทำอะไรไม่บอกอะ)
รู้สึกกังวลและเครียดมากหายใจไม่ทั่วท้องเลย หายใจเข้าออกลึก ๆ ให้สุดปอดตลอดทั้งวัน
และบอกกับตัวเองว่า "ถ้ามันไม่ร้ายแรงถึงกับตาย เราก็ไม่ต้องไปกลัวไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
เรารับได้อยู่แล้ว เราแก้ไขปรับปรุงตัวเองได้ สบายมาก "
@ ถูกขาใหญ่ตบกระโหลกที่หน้าปากซอยฮึ่ม..แค้นมาก เดี๋ยวจะลากปืนไปยิงมัน
โห..! คิดได้ไงเนี่ยจะเอาเพชรไปแลกกะถ่าน คุ้มจริงๆ นะเพ่
@ ทำไมโรงเรียนต้องบังคับนักเรียนชายให้ตัดผมด้วยหมดหล่อเลยเรา เผด็จการชัด ๆ
ลดความหล่อบ้างสักนิดก็ดีนะสาว ๆ จะได้ไม่กวน ขอบคุณคับคุณครู ที่ช่วยให้ผมได้เรียนหนังสือเต็มที่กับเขาสักที
@ ไม่สบอารมณ์คนนั่งข้าง ๆ (ใครหว่า ?)ขอคาถาขับไล่หน่อยสิ
ได้สิ.. " โอมเพี้ยง.. ชิ๊ว ๆ ๆ ไปพวกความคิดที่ไม่ดีทั้งหลาย
หายวับกับตาไปให้หมดเดี๋ยวนี้เลย ฉันจะได้ใจเย็นๆ สักที "
@ ฮือ..ๆๆเราติดเอดส์เรากลัวตาย..ฮือๆๆ
เข้มแข็งๆ กล้าหาญไว้ โอ.!.ฉันขอบคุณโรคเอดส์ เพราะมันทำให้ฉันไม่ประมาทในชีวิตอีกต่อไป
ฉันจะรักษาสุขภาพกายใจให้ดีๆ อายุจะได้ยืนยาวไปอย่างน้อยอีกสิบปี
(ไม่แน่นะ ถึงตอนนั้นอาจจะมียารักษาให้หายแล้วก็ได้ ) ฉันจะทำความดีให้มากๆๆๆ
จวบจนวินาทีสุดท้ายเพราะพระท่านว่าคนที่ทำความดีไม่ต้องกลัวโลกหน้า
ตายไปเมื่อไหร่จะสุขเหลือล้นจนคนข้างหลังอิจฉาเลยทีเดียวเชียว
@ เจอพวกชอบโทร(สาธารณะ)นานแทบจะกางมุ้งนอนรอ
ถ้าไม่กล้าเคาะเตือน ขณะที่เรายืนรอ ลองฝึกสังเกต คนพวกนี้เล่นๆ ก็ได้ สนุกดีนะ เช่น
"อึมม์..เจ้าหมอนี่ นุ่งกางเกงยีนส์ปะๆแต่ว่าซักสะอาด แสดงว่าชอบโชว์ความเก๋า
แต่.. เล็บมือด๊ำดำ ว๊า ! หมดท่าเลย สังเกตดูเสื้อ สก๊อตสีน้ำเงินซะด้วย แต่ดูดีๆ
ตะเข็บเย็บไม่ประณีต สงสัยจะเป็นเสื้อโหล ชอบยืนพิงตู้โทรคุยแบบนี้ น่าจะเป็นคนขี้เกียจนะ นั่น ๆ
มีสมุดเรียนเหน็บที่กระเป๋าหลัง อ๋อ ! เรียนอยู่สถาบันนี้เอง แหวะ ..
ทีหลังมีเราลูก เราไม่ส่งเรียนที่นี่หรอก นิสัยไม่ดี ฯลฯ "
(บางคนกว่าจะออกจากตู้ สงสัยสังเกตจนเขียนตำราได้หนึ่งเล่ม หุ หุ ) "
@ เป็นคนขึ้อายมากกกกค่าเวลาคุยกะใครม้วนไปม้วนมา
จะคุยกับหนุ่มใช่มั๊ยล่า..า รู้ทันหรอกน่า ให้คิดว่าเขาเป็นลูกชายคนโตของเราดิ แม่รู้สึกยังไงกะลูกล่ะ
เอ็นดูใช่มั๊ย สงสารใช่มั๊ย ให้มีเมตตากรุณาต่อผู้ชายทุกคนที่คุยด้วย แต่ไม่หวั่นไหวกะใครง่าย ๆ
ความอายจะหายไป ............ทำได้ป่าว
@ มีคนใส่ร้ายเราเราโกรธมากจนนอนไม่หลับ
เขาทำความชั่วเขาก็ได้ผลชั่วของเขาเอง เรามามัวนอนโกรธ จนนอนไม่หลับ
อย่างนี้ก็สมใจเขาสิ เปลี่ยนไม่ถือสาหาความ เมตตาเอ็นดูเขาดีกว่านอนหลับสบาย แถมฝันดีอีกต่างหาก
@ มีแฟนหลายคนสับหลีกไม่ทันอะ
มีแฟนเยอะ แสดงว่าเรายังไม่เจอรักแท้ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะลองแกล้งป่วยดู
ถ้าคนไหนมาเยี่ยม แสดงว่าคนนั้นก็ผ่านรอบคัดเลือก
เราจะทดสอบกลั่นกรองให้เหลือคนที่ดีที่สุด เพราะรักเดียวใจเดียวคือความสุขที่แท้จริง
@ ครูสอนน่าเบื่อโดดเรียนดีกว่าเรา
โดดเรียน ได้ผ่อนคลาย มีเสรี จะไปไหนก็ได้ อึมม์...มันก้อดีเหมือนกันนะ แต่ทว่า...
มันเป็นการหนีปัญหา เพราะอีกหน่อยเราก็คงต้องหนีเรื่อยไป หนีหน้าคน -หนีการงาน -หนีความรับผิดชอบ
ขืนเป็นอย่างนี้ อนาคตของเราคงจะไปไม่รอดแน่ๆ สู้เลย..! จะไปกลัวอะไร ถ้าครูสอนน่าเบื่อ
เราก็เรียนให้มันน่าสนุกสิ ง่ายจะตายไป เรื่องอะไรจะหนีเรียนให้เสียชื่อ เราสู้วันนี้ วันหน้าสบายมาก เย.."
@ ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะครับทำไมผู้ใหญ่ชอบบังคับกันเรื่อย
ถ้าไม่อยากให้รู้สึกว่ามีคนมาบังคับ ก็ต้องทำอะไรด้วยเหตุผลของตัวเอง
เช่น :-
โรงเรียนบังคับให้ตัดผม
เราก็คิดว่า "เราตัดผมไม่ใช่เพราะกลัวลงโทษ แต่เราตัดผมเพราะเราเคารพกฎของโรงเรียนต่างหาก"
แม่สั่งให้เก็บที่นอนทุกเช้า
เราก็คิดว่า "ที่เราทำไม่ใช่เพราะกลัวแม่ด่า แต่เพราะเห็นว่ามันเป็นระเบียบเรียบร้อยดีต่างหาก"
พ่อบังคับไม่ให้เราไปเที่ยวไหนในวันหยุด
เราก็คิดว่า ที่เราไม่ไปไหน ไม่ใช่เพราะกลัวพ่อดุ แต่เพราะเราต้องการจะฝึกตัวเองให้เข้มแข็งต่างหาก" ฯลฯ
@ มีครูอยู่วิชาหนึ่งไม่ให้เกียรตินักเรียนชอบพูดสบประมาทเด็กอยู่เรื่อยเลย
ทุกครั้งที่ได้ยินถ้อยคำดูหมิ่น ให้ยิ้มน้อยๆด้วยความเข้าใจและเห็นใจ(ผู้พูด) และ ให้คิดในใจว่า"
พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญเราผู้ที่มีความหนักแน่น อดทนต่อถ้อยคำ
ประกอบดัวย เมตตา และ ปัญญา ว่าเป็น ผู้ใหญ่ หาใช่ เด็ก ไม่ "
@ เป็นโรคใจง่ายเข้าใกล้คนหล่อ ๆทีไรหวั่นไหวทุกที
เวลาเข้าใกล้คนหล่อ ให้นึกถึงอะไรที่น่าเกลี๊ยด น่าเกลียดภายในตัวของเขาสิ เช่น
ขนจมูกของเขา ขี้หูของเขา ขี้ตา... .. รังแค.... อึ ..(แหวะ) คิดอย่างนี้ เดี๋ยวก็หายหวั่นไหวไปเอง ..ไม่เชื่อ ลองดูดิ
@ เพื่อนๆ ในห้องมีแฟนกันหมดแล้วมีเหลือแต่เรา "แหง่ว..ว" อยู่คนเดียว
คิดมุมกลับ.. " เพื่อนๆ ในห้องหาเรื่องไปร้อนรนทุรนทุรายกันหมดแล้ว เหลือแต่เราอยู่เย็นเป็นสุขอยู่คนเดียว เย..! "
@ อยากเที่ยวกลางคืนให้มันสนุกสุดเหวี่ยงไปเลย
สุดเหวี่ยงจนลงเหวน่ะสิไม่ว่า เที่ยวกลางคืนเนี่ยปากทาง แห่งความเสื่อมเลยนะตัวเอง
@ ข้างบ้านชอบแต่งตัวโป๊ขอคาถาข่มใจหน่อยดิ
โอม ! ... ธรรมดาๆๆ ๆไม่เห็นจะน่าตื่นเต้นอะไร เหม็นขี้เหงื่อ เหม็นขี้ไคล ใคร ๆ ที่ไหน ก็เหมือนกัน (ท่องไปจ้องไปนะ )
แทนที่จะไปโกรธเพื่อนคนนั้น พูดง่ายๆ เขาไม่มีจุดเด่นเหมือนเราเขาจึงนินทาว่างั้นเหอะ
@ ส่งยิ้มให้เธอแล้ว ไม่แยแส
ยังดี..นะเนี่ย ที่เธอไม่ด่ากลับมา นี่แสดงว่าเธอยังมีน้ำใจดีอยู่บ้างโอ..
ซาบซึ้งเหลือเกิน ถึงเราจะแห้ว..แต่เราก็ยังประทับใจในความดีของหล่อน
@ โดนแม่ด่าแต่เช้าตรู่
แม่ด่าเรา แสดงว่าแม่ยังรักและห่วงใยเราอยู่ โห..ซาบซึ้งมากเลย อีกอย่างหนึ่งในคำด่าของแม่ต้องมีอะไรดีๆ
ซ่อนไว้แน่ ๆ ไม่อย่างนั้นแม่ไม่ด่าซ้ำ ๆ เรื่องเดิม ๆ อย่างนี้หรอก
@ ครูสอนไม่รู้เรื่องเลย
ท้าทายมาก ..ท้าทายมาก นี่หมายความว่าคุณครูกำลังท้าทายเรา ว่าถ้าข้าสอนห่วยๆ แบบนี้
เอ็งจะรู้เรื่องหรือเปล่า อย่างนี้ยอมไม่ได้..เราต้องขวนขวายเอาเอง เพื่อพิสูจน์กึ๋นให้คุณครูรู้ว่าเรานี้ก็ไม่เบาเหมือนกาน..น
@ เพื่อนหักหลัง
ไม่เป็นไร..ขอกันกินมากกว่านี้ แต่น่าสงสารนายนะ เพราะนิสัยของนาย
คงจะทำให้นายต้องเสียเพื่อนไปหมดทุกคนในไม่ช้า เพราะคงไม่มีใครหรอกที่จะไว้ใจคนที่หักหลังเพื่อน.
@ เพื่อนล้อว่าเสี่ยว
โห..! ตัวเรานี่มีอะไรดีๆ เยอะแยะ แต่พวกนายกลับมองไม่เห็นคุณค่าสงสัยว่าการมองโลกของพวกนาย
คงจะมีปัญหาแล้วล่ะ เสียใจด้วยนะ.ที่นายคงหมดโอกาสจะได้คบกับคนดี ๆ อย่างเรา
@ เช็คเมล์เจอแต่จดหมายขยะชวนดูรูปโป๊
ทดสอบ ๆ ทดสอบพลังจิต ถ้าเราลบเมล์พวกนี้ทิ้ง แสดงว่าจิตใจของเราเข้มแข็ง
ถ้าเปิดดู ก็อ่อนแอ (เผลอ ๆ โดนหลอกให้เปิดไวรัสอีกต่างหาก อิอิ)
@ วันหยุดการบ้านเพียบ
สบายมาก..คุณครูกำลังท้าทายความสามารถของเรา(อีกแล้ว) เรารู้ทันหรอกน่า
การบ้านเยอะอย่างนี้เราก็ว่าดีนะ เพราะได้ฝึก ตัวเองให้เป็นคนสู้งานหนัก ถ้าเราสู้ไม่ถอยในวันนี้ อนาคตไปโลด
@ อกหักอีกแล้ว
ไม่เป็นไร ได้เรียนรู้ชีวิต นี่ป็นการพิสูจน์สัจจธรรมอีกครั้งว่า รักแท้คือแม่เรา ว่าแต่ตัวเราเอง
คอยปรับปรุงตัวเองให้ดีๆ เหอะ ชีวิตดีขึ้นเดี๋ยวก็มีคนมาชอบเราเองแหละ
@ รถติดหงุดหงิดๆ
นั่งสมาธิมันเสียเลย จิตใจสว่างไสว เรียนหนังสือจะได้จำแม่น ง่ายจะตาย หลับตาหายใจเข้าออกลึก ๆ
นับ 1 2 3 4 5 ดูลมหายใจเข้าออกเพลิน ๆ ไม่ต้องไปรอคอยอะไร
@ โห..ใช้เงินเพลินหมดเรียบเลย
" เงินหมด ก็อดอย่างเสือ" ดีสิ..จะได้ฝึกนิสัยอดทนสักระยะ ยังมีคนอื่นที่ทุกข์มากกว่าเราเยอะแยะ
ทุกข์ของเรามันแค่เรื่องขี้ผง
@ เพื่อนมีมือถือ แต่เราไม่มี
โชคดีแล้วล่ะที่ไม่มี มือถือเนี่ยตัวดูดเงินเลย วัยรุ่นบางคน เมาท์จนล้มละลาย
อย่าเห่อไปตามกระแสหน่อยเลย ชีวิตนี้ไม่ได้ดีขึ้นเพราะมือถือหรอกนะ
@ เราหน้าตี๋ กลม ๆ เหมือนดวงจันทร์ ..อายจัง
โด่..หล่อจะตาย สมัยก่อนนู้น เขาคลั่งไคล้มาก ขนาดที่เมืองจีน เวลาปั้นพระพุทธรูป
เขายังปั้นให้หน้าอูม ๆ เลย จริงอยู่สมัยนี้เขานิยมคนหน้าตาแบบลูกครึ่งฝรั่ง
แต่อีกหน่อยก็เลิกฮิต เชื่อเหอะ ไม่แน่นะ ในอนาคตแฟชั่นหน้าตี๋อาจจะกลับมานิยมอีกก็ด้าย..
.อ้อ ! อีกอย่างสมัยนี้ สาว ๆ ที่ฉลาด เขาชอบคนดีมากกว่าคนหล่อ นะจะบอกให้
@ ชอบเขา แต่เขาไม่ชอบเราง่ะ
ธรรมดาเลย.. ปิ๊งใครง่าย ๆ มันก็ต้องกิน"แห้ว"ประจำ ที่จริงชีวิตของเรานั้นมีคุณค่ามากนะ
จะปล่อยให้เรื่องเล็กๆ แค่นี้มาทำให้ชีวิตของเราไร้ค่าได้อย่างไร ทำตัวเองให้มีค่า
ดีกว่า เดี๋ยวก็มีคนดี ๆ มาชอบเราเองหรอกน้า..า
@ เฮ้อ ! แฟนดูรูปโป๊ประจำ
ดูเข้าไปเลย..เห็นพระท่านว่าพวกผู้ชายที่ชอบดูรูปโป๊มาก ๆ ชาติหน้าพวกนี้จะไปเกิดเป็นผู้หญิงกันหมด
เพราะจิตใจฝักใฝ่แต่รูปร่างผู้หญิง ดีสม..! ชอบเอา เปรียบกันนักไปเกิดเป็นผู้หญิงเองเสียบ้าง
จะได้รู้สึก (เขาเรียกว่าไป "ที่ชอบๆ" ฮิ ฮิ)
@ ผิดหวังผลสอบดูหนังสือแทบตายได้แค่ เกรด B
เรียนแล้วได้วิชาความรู้ มันก็เหมือนทำงานแล้วได้เงินเดือน การได้เกรด A ก็คล้ายๆ
กับว่าเราได้โบนัส ทีนี้ถึงเราจะไม่ได้โบนัส มันก็ไม่น่าจะเสียใจอะไร ก้อเราได้เงินเดือนแล้วนี่นา
@ เข้าคิวซื้อตั๋วหนังอยู่ดีๆเพื่อนเล่นแซงคิวหน้าตาเฉย
โถ.. ! น่าสงสาร ยอมเสียนิสัย เพื่อแลกกับตั๋วหนังเพียงใบเดียว
@ ข้างห้องเปิดเพลงเสียงดังหนวกหูทั้งวัน
เสียงภายนอกดังสนั่น แต่เสียงภายในเงียบสนิท ถึงเสียงวิทยุจะดังปานใด
แต่ใจฉันก็ไม่เคยหงุดหงิด ฉันยังคงทำงานของฉันไปอย่างมีความสุข
@ คนชอบมาแซวเราว่า"น้องดำ ดอทคอม"
ผิวอย่างฉันเขาเรียกว่า "คมขำ" ย่ะ หนุ่มๆ ฝรั่งหลงใหลจะตายไป
พวกนายคงโดนโฆษณาหลอกแล้วล่ะ"ฉันคือตัวฉัน" ไม่ต้องให้ใครมาจูงจมูกหรอกนะ
@ เฮ้อ..! ไม่รู้จะทำอะไรดีเซ็ง..ง ระเบิด !
แอ็คทีฟเข้าไว้เพื่อน อย่าให้ความเซ็งเข้าครอบงำ ทำทุกอย่างด้วยความกระฉับกระเฉง
หนึ่ง สอง..ๆๆๆ หาอะไรทำให้มันสนุก หนึ่ง สอง... ๆๆ
@ รู้สึกว่าตัวเองโง่โดนคนอื่นหลอกอยู่เรื่อย
นึกว่าตัวเองโง่ ยังดีกว่านึกว่าตัวเองฉลาด พระท่านว่าคนฉลาดคือคนที่รู้ตัวเองว่าโง่นะ
(แต่อย่าเผลอไปโดนเขาหลอกอีกล่ะ อิ อิ)
@ เพื่อนเห็นแก่ตัวกินไหนกินด้วยแต่ไม่เคยช่วยสักบาท
เฮ้อ..นึกว่าช่วยชีวิตเพื่อนให้รอดไปได้สักมื้อก็แล้วกัน ได้บุญดีนะ (แหะๆ....แต่นาน ๆ เจอกันสักที ก็แล้วกัน)
@ กลุ้มใจจังไม่มีใครมาจีบ
"กลุ้มใจ" ไม่มีคนมาจีบ มันยังดีกว่า "ช้ำใจ" ที่โดนคนมาหลอก ถ้าอยากจะพบรักแท้ มันก็ต้องอดทนไว้ก่อนนะเธอ
@ หน้าเป็นสิวไปไหนมาไหนอายเพื่อน
วัยรุ่นมีสิวน่ารักจะตายไป เออถ้าคนแก่มีสิวสิ ค่อยน่าอายหน่อย
พวกบริษัทขายยาแก้สิวทั้งหลายนี่แหละตัวดี ชอบโฆษณาทำร้ายจิตใจวัยรุ่นดีนัก
ระวังตัวใว้ดีๆเหอะ ชาติหน้ากรรมสนอง ไปเกิดเป็น "ท้าวแสนปม" ไม่รู้ด้วย อิอิ
@ ทำตังค์ตกหาย 500 แง..!
ไม่เป็นไร..คิดเสียว่าเสียค่าหน่วยกิต วิชา "ละเอียดรอบคอบระมัดระวัง"
ก็แล้วกัน นี่ถ้าชีวิตเรามีความรอบคอบมากขึ้น เพราะเงิน หายในคราวนี้ ก็นับว่าคุ้มค่ามากเลยทีเดียว
@ พ่อแม่ชอบเห็นเราเป็นเด็กตลอดชาติ
ถึงใครจะมองเราว่าเป็นเด็ก แต่เราก็จะเคารพตัวเองว่าเรานั้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ผู้ใหญ่คือคนที่ไม่ทำอะไรตามใจตนเอง แต่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความรอบคอบ
ใคร่ครวญด้วยสติปัญญา (เอ...ชักยากแฮะ หรือว่าจะยอมเป็นเด็กเหมือนเดิมดีกว่าม้าง...ง )
@ อิจฉาเพื่อนแฟนมันสวยอะ
มีแฟนสวยก็ยินดีด้วย แต่เราว่ามีแฟนนิสัยดีดูแลเอาใจใส่ดี แบบนี้สุดยอดกว่านะ
@ รักเธอแต่ว่าไม่กล้าเอ่ยปาก
อย่างนี้ต้องซ้อมบอกรักกับคนอื่นให้เกิดความเคยชินเสียก่อน พ่อคับ ผมรักคุณพ่อมากคับ
.. แม่คับ ผมรักคุณแม่มากคับ .. ไอ้ตูบ ข้ารักเอ็งมากนะ .. เฮ้ย..เจ้าศักดิ์ เรารักนายจริงๆ ว่ะ .. ฯลฯ
อิอิ.. ทีนี้พอพูดคล่องแล้วจึงค่อยไปบอกรักกะเธอ
@ ช่วยเพื่อนแทบตายแต่เพื่อนยังคิดร้ายกะเราอีก
เฮ้อ..คิดว่าช่วยเสือตกน้ำให้รอดตายสักตัวก็แล้วกัน เสือเนี่ยนะ ถึงเราช่วยมัน แต่ถ้าเราเข้าใกล้มัน
มันก็กัดเราอยู่ดี คงต้องปล่อยเข้าป่าไป เจ้าเพื่อนคนนี้ก็เหมือนกัน ฉันช่วยแกแค่เอาบุญ
แต่คราวหน้าคงไม่ช่วยแล้วล่ะ ปรับปรุงตัวเองให้นิสัยดีกว่านี้ก่อน แล้วค่อยมาว่ากันใหม่
@ พอแฟนเจอคนที่รวยกว่าเธอบอกเลิกกับผมทันที
อย่างนี้เรียกว่า..โชคดีที่เลิกกัน จริงๆ นะ ..คนที่เห็นเงินทองสำคัญกว่าความรักอย่างเงี้ยะ
ขืนได้แต่งงานด้วย รับรองว่าเจอปัญหาตลอดชีวิตแน่เราโชคดีแล้วล่ะ ที่แคล้วคลาดออกมาได้
@ เหงามากขอบอก
มองรอบๆ ดู .. อะไรต่ออะไรล้วนแต่เป็นเพื่อนคอยช่วยเหลือเราทั้งน้าน.น โต๊ะก็เพื่อนเรา
เก้าอื้ก็เพื่อนเรา หน้าต่างก็เพื่อนเรา หนังสือก็เพื่อนเรา แก้วน้ำก็เพื่อนเรา ฯลฯ...(สามชั่วโมงผ่านไป) .....ฯลฯ
หมาก็เพื่อนเรา ต้นหญ้าก็เพื่อนเรา ท่อระบายน้ำก็เพื่อนเรา ตู้ไปรษณีย์ก็เพื่อนเรา... ฯลฯ .... (ต่อไปอีกห้าชั่วโมง)..... ฯลฯ
@ เพื่อนกวนยียวนมากอยากชกสักที
โด่..คนกวนๆ แบบนี้ไปที่ไหนก็มีคนอยากชกกันทั้งนั้น เราจะต้องไปชกเองทำไมให้เจ็บมือ
เดี๋ยวก็มีคนอื่นชกให้เองแหละ แต่ดูๆแล้วก็น่าสงสารนะ...โถ..! เกิดมาชาตินี้มีแต่คนอยากชก
@ อยากตัดใจจากคนรักค่ะทรมานใจมากอยากทำใจให้ไวสุดๆ
ทุกครั้งที่นึกถึงเขาให้ทำอย่างนี้ดิ " หายใจเข้าลึกๆ นึกถึงเขา(คนนั้น) หายใจออกยาว ๆ
สลายภาพของเขาใหัหายไป " แล้วก็พูดในใจว่า "โอ้..! ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่ใช่ของเรา
มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย " (จับฝึกกรรมฐานเสียเลย อิอิ )
@ พ่อบังคับผมจะให้สอบเอ็นฯติดให้ได้..เครียดมาก
โอเคครับ...ผมจะพยายามเพื่อพ่อ แต่ผมขอเวลาทำอะไรเพื่อตัวผมเองบ้างนะครับ
อ้อ..! ถ้าเอ็นฯไม่ติด ก้อไม่ว่ากันนะครับ เพราะสุดฝีมือแล้ว แต่พ่อไม่ต้องห่วงอนาคตของผมหรอกครับ
เพราะถึงผมจะเอ็นฯไม่ติด ผมได้เตรียมหนทางของผมไว้แล้ว รับรองไปได้สวยอย่างแน่นอนครับ
@ นอนไม่หลับกระสับกระส่าย
ฮ้าว..ว (หาว) แล้วส่งกระแสจิตไปยังสัตว์โลกแบบนี้ดิ หนึ่ง.. ฉันรักแมว สอง..ฉันรักหมา
สาม..ฉันรักยีราฟ สี่...ฉันรักหนอน ห้า...ฉันรักสิงโต หก...ฉันรักนก เจ็ด.. ฉันรักเม่น.... ฯลฯ
( ส่งความรักไปถึงสัตว์โลกอย่างนี้เรื่อยๆ สักร้อยตัว รับรองประเดี๋ยวก็..คร้อกก..ก)
@ เพื่อนรักต่อหน้าทำดีกับเราแต่ลับหลังเผาเราเซียะไม่มีดี
ไม่เป็นไร..เราให้อภัย เพราะนายเคยทำดีกะเราไว้เยอะ เอาเป็นว่าถ้านายเลิกนิสัยนี้ได้เมื่อไหร่
เราทั้งสองคน ค่อยมาคบกันใหม่นะ ...สวัสดี ( โห..! เลิกคบเลย )
@ ท้อใจอยากโดดตึก
ขืนโดดก็โง่ดิ .. โด่....ชีวิตนี้มันก็แค่แบบฝึกหัดเล่มใหญ่ ปัญหาผ่านมาเดี๋ยวมันก็ผ่านไป
มันมาแวะทักทายเราให้ลองแก้ไขดูเท่านั้นเอง แก้ปัญหาไม่ได้ ก็เรียนรู้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เจอทางออก ยอมแพ้ได้ไง
@ เพื่อนชอบพูดข่มเราประจำ
คนมีปมด้อยมาก ๆ ก็อย่างนี้แหละ ชอบข่มคนอื่นให้ด้อย
เพื่อตัวเองจะได้เด่น เราไม่ถือสานายหรอก เอาไว้นายเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น นายก็จะรู้เอง
@ เวลาอยู่ต่อหน้าคนเยอะๆรู้สึกประหม่า ๆไม่ค่อยเชื่อมั่นในตนเอง
เวลายืนอยู่ในกลุ่มเพื่อนๆ ให้คิดอย่างนี้ดิ " ฉันคือราชสีห์ผู้สง่างาม ยืนอยู่ท่ามกลาง
หมู่สัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลาย ( ก็เพื่อน ๆ ไง ) นั่น ยีราฟ (คนสูง ๆ ) โน่น ฮิปโป้ (อิ อิ) นู่น เม่น (คนผมแข็ง ๆ) ฯลฯ "
..เดี๋ยวก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาเองแหละ
@ เกิดมาจนโธ่ ! คนอย่างเรา
เกิดมาจน ก็ได้เปรียบน่ะสิ เพราะได้มีโอกาสสร้างเนื้อสร้างตัว ด้วยลำแข้งของตัวเองจริง ๆ
ชีวิตจะแข็งแกร่งกว่าคนที่เกิดมาสบาย ๆ ตั้งแต่เด็ก แหม..ได้เปรียบแล้ว ยังมาทำบ่นอีก
@ เพื่อนจะขายตัวบอกว่าไม่เห็นจะหนักหัวใครเลย
ช่าย..ย ..เราก้อเห็นด้วยกับเธอนะ นั่นไง เจ้า HIV ยังพยักหน้าเห็นด้วยเลย
@ เรา"นมเล็ก"อยากใหญ่กว่านี้ทำไงดีอะ
เล็กๆ กระทัดรัด น่ารักนะจะบอกให้ แล้วอีกอย่าง ธรรมชาติของผู้ชายเนี่ย เขาต้องการความอบอุ่น
จาก "การดูแลเอาใจใส่" ต่างหาก ไม่ใช่จาก "หน้าอกใหญ่ ๆ "
@ เรียนหนังสือยังไงให้เป็นเลิศและไม่ให้เครียดครับ
คิดอย่างนี้ทุกวัน รับรองเป็นเลิศ"ฉันจะตั้งใจเรียนอย่างจริงจัง ฉันจะขยันอย่างไม่หยุดหย่อน
ฉันจะค้นคว้าด้วยความอยากรู้จริง ๆ และ...ฉันจะไม่แข่งขันกับใคร นอกจากแข่งขันกับตัวเอง "
@ ไม่รู้เป็นอะไรอยากได้โน่นได้นี่ตลอดเวลาแต่ไม่มีเงิน แหะๆ
"อยากได้โน่นอยากได้นี่" มีแต่เสียเงินลูกเดียว " อยากทำโน่นอยากทำนี่ "
ดีกว่า สนุกดี แฮปปี้ตลอดวัน แถมไม่ต้องเสียเงินสักบาท
@ แง ... เพื่อนไม่สนใจเราเลยทำดีเอาใจทุกอย่างแล้วนะ
ทำดีเพื่อให้คนอื่นมาสนใจมันก็เหื่ยวแห้งอย่างนี้แหละเธอ เป็นแม่พระดีกว่านะ...
ดูแลเพื่อน ๆ เหมือนอย่างกับแม่ที่ดูแลลูก ให้ความอบอุ่นอย่างทั่วถึง แล้วแอบยิ้มอยู่คนเดียวเงียบ ๆ
....เฮ้อ ! เห็นคนอื่นมีความสุข แล้วก้อสบายใจ
@ ถ้าหนูจะต้องทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำเช่น ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน(อ้าว ! )
ทำยังไงไม่ให้ขี้เกียจ ให้คิดดูว่า เราจะได้อะไรจากงานที่ทำนี้บ้าง คิดไปเรื่อย ๆ
จนเกิดความรู้สึก "อยากทำ" เช่น "ล้างส้วม" เราได้อะไรบ้าง โห !เยอะแยะ
1."ได้ออกกำลัง" ดีจังเรายิ่งอ้วน ๆ อยู่ด้วย
2."ได้เสียสละ" เพื่อพ่อแม่จะได้เข้าห้องน้ำอย่างมีความสุข
3. "ได้ฝึกอดทน" โตขึ้นเราจะได้แข็งแกร่ง ลุยได้ทุกที่
4. "ได้บุญ" ใครเห็นห้องน้ำสะอาด เขาก็จะสบายใจ เราก้ออิ่มบุญ
ฯลฯ ..(คิดไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก้อทนไม่ไหว อยากจะไปทำเองแหละ)
@ ช่วยตัวเองบ่อยมากทำไงให้ลดลง
เบรคตัวเองแรง ๆ ดิ เช่น .. " ไม่คุ้มเลย.. สุขวูบเดียว เพลียไปทั้งวัน...
มันก็แค่อร่อยเหมือนแทะเนื้อติดกระดูก แทะยังไงก็ไม่อิ่ม ... ไม่มีปัญญาคิดสร้างสรรค์ความสุขอื่น ๆ
แล้วหรือไง ถึงได้จมอยู่แต่เรื่องพวกนี้... เราวุ่นกับมัน มันก็วุ่นกับเรา ไม่เป็นอิสระสักที " ฯลฯ
(ถ้าคิดแล้วยังเอาไว้ไม่อยู่ ก็ตามบายเหอะ มันไม่เสียหายอะไรนักหรอก)
@ คืนนี้ อยู่คนเดียวกลัวผีอะบรื๋วว..ว์
นี่พวกผี ตอนนี้ฉันกำลังสวดนะโม ตัสสะ ฯ อยู่นะ เตือนไว้ก่อนว่าพระพุทธเจ้าท่านกำลังประทับอยู่ในใจฉัน
ผีตัวไหนอย่าอุตริโผล่ขึ้นมาหลอกล่ะ บาปกรรมหัวแตกเป็นเจ็ดเสี่ยงไม่รู้ด้วยนะเออ
@ คนตามจองล้างจองผลาญกลั่นแกล้งเราไม่ยอมเลิก
" เจ้ากรรมนายเวร" ภาค 2 ชัวร์ !! อย่างนี้ยิ่งตอบโต้ยิ่งเกมยาว (ถึงชาติหน้า)
เจ๊ากันไปดีกว่า เอาเป็นว่าจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เรื่อยๆ ศัตรูได้ส่วนบุญเยอะ ๆ เดี๋ยวก็เลิกรากันไปเองแหละ
@ กระเป๋ารถเมล์สายที่นั่งประจำพูดจาไม่สุภาพฟังแล้วไม่สบอารมณ์เลย
น่าเห็นใจนะอาชีพนี้ นี่ถ้าฉันลองไปทำดูบ้าง ฉันก็คงจะเครียด และต้องแสดงอาการกริยาแบบนี้แหละ
@ ทำตัวดีไม่เป็นภัยกับใครแต่กลับถูกใส่ร้ายป้ายสี
ภูผาหินไม่กลัวพายุร้าย เราบริสุทธิ์ใจเสียอย่าง จะไปหวั่นไหวอะไรกะอีแค่ลมปาก
เขาพูดป้ายสี สีก็เลอะที่ปากเขาสิ เราไม่เกี่ยว..
@ ผมเป็นคนจับจดทำงานอะไรไม่เคยสำเร็จชาตินี้จะเอาดีกะเขาได้มั้ยเนี่ย
นึกถึงภาระกิจที่จะต้องทำแล้วคิดด้วยความมั่นใจว่า " เข้ามาเล้ย..ย งานน่ะ ไม่กลัวอยู่แล้ว
(ทุบกำปั้นบนฝ่ามือ) เรามั่นใจ ทำได้แน่ไม่เลี่ยง ไม่หนี ลุยลูกเดียว " (คิดทั้งวันทั้งคืน ชาตินี้จะไม่มีวันเป็นคนจับจด)
@ นิสัยตัวเองไม่ดีชอบจ้องจับผิดคนอื่น
" มิน่าเล่า เราถึงไม่มีเพื่อนที่ดีเหลือเลยสักคน จับผิดตัวเองดีกว่า สนุกกว่ากันเยอะเลย "
@ ติดเกมงอมแงมเสียการเสียงานอยากเลิก แต่เลิกไม่ได้
พูดท้าทายตัวเองดิ เช่น" เล่นเกมสนุก แต่ไม่มีสาระ เสียเวลาไปเปล่าๆ ไหนเก่งจริง
ลองทำงานให้สนุกเหมือนเกมดูซิโด่...ทำได้หรือเปล่า มีปัญญาอ๊ะป่าว "
@ ทำสิ่งที่ไม่ดีบางอย่างมา(ทำอะไรไม่บอกอะ)
รู้สึกกังวลและเครียดมากหายใจไม่ทั่วท้องเลย หายใจเข้าออกลึก ๆ ให้สุดปอดตลอดทั้งวัน
และบอกกับตัวเองว่า "ถ้ามันไม่ร้ายแรงถึงกับตาย เราก็ไม่ต้องไปกลัวไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
เรารับได้อยู่แล้ว เราแก้ไขปรับปรุงตัวเองได้ สบายมาก "
@ ถูกขาใหญ่ตบกระโหลกที่หน้าปากซอยฮึ่ม..แค้นมาก เดี๋ยวจะลากปืนไปยิงมัน
โห..! คิดได้ไงเนี่ยจะเอาเพชรไปแลกกะถ่าน คุ้มจริงๆ นะเพ่
@ ทำไมโรงเรียนต้องบังคับนักเรียนชายให้ตัดผมด้วยหมดหล่อเลยเรา เผด็จการชัด ๆ
ลดความหล่อบ้างสักนิดก็ดีนะสาว ๆ จะได้ไม่กวน ขอบคุณคับคุณครู ที่ช่วยให้ผมได้เรียนหนังสือเต็มที่กับเขาสักที
@ ไม่สบอารมณ์คนนั่งข้าง ๆ (ใครหว่า ?)ขอคาถาขับไล่หน่อยสิ
ได้สิ.. " โอมเพี้ยง.. ชิ๊ว ๆ ๆ ไปพวกความคิดที่ไม่ดีทั้งหลาย
หายวับกับตาไปให้หมดเดี๋ยวนี้เลย ฉันจะได้ใจเย็นๆ สักที "
@ ฮือ..ๆๆเราติดเอดส์เรากลัวตาย..ฮือๆๆ
เข้มแข็งๆ กล้าหาญไว้ โอ.!.ฉันขอบคุณโรคเอดส์ เพราะมันทำให้ฉันไม่ประมาทในชีวิตอีกต่อไป
ฉันจะรักษาสุขภาพกายใจให้ดีๆ อายุจะได้ยืนยาวไปอย่างน้อยอีกสิบปี
(ไม่แน่นะ ถึงตอนนั้นอาจจะมียารักษาให้หายแล้วก็ได้ ) ฉันจะทำความดีให้มากๆๆๆ
จวบจนวินาทีสุดท้ายเพราะพระท่านว่าคนที่ทำความดีไม่ต้องกลัวโลกหน้า
ตายไปเมื่อไหร่จะสุขเหลือล้นจนคนข้างหลังอิจฉาเลยทีเดียวเชียว
@ เจอพวกชอบโทร(สาธารณะ)นานแทบจะกางมุ้งนอนรอ
ถ้าไม่กล้าเคาะเตือน ขณะที่เรายืนรอ ลองฝึกสังเกต คนพวกนี้เล่นๆ ก็ได้ สนุกดีนะ เช่น
"อึมม์..เจ้าหมอนี่ นุ่งกางเกงยีนส์ปะๆแต่ว่าซักสะอาด แสดงว่าชอบโชว์ความเก๋า
แต่.. เล็บมือด๊ำดำ ว๊า ! หมดท่าเลย สังเกตดูเสื้อ สก๊อตสีน้ำเงินซะด้วย แต่ดูดีๆ
ตะเข็บเย็บไม่ประณีต สงสัยจะเป็นเสื้อโหล ชอบยืนพิงตู้โทรคุยแบบนี้ น่าจะเป็นคนขี้เกียจนะ นั่น ๆ
มีสมุดเรียนเหน็บที่กระเป๋าหลัง อ๋อ ! เรียนอยู่สถาบันนี้เอง แหวะ ..
ทีหลังมีเราลูก เราไม่ส่งเรียนที่นี่หรอก นิสัยไม่ดี ฯลฯ "
(บางคนกว่าจะออกจากตู้ สงสัยสังเกตจนเขียนตำราได้หนึ่งเล่ม หุ หุ ) "
@ เป็นคนขึ้อายมากกกกค่าเวลาคุยกะใครม้วนไปม้วนมา
จะคุยกับหนุ่มใช่มั๊ยล่า..า รู้ทันหรอกน่า ให้คิดว่าเขาเป็นลูกชายคนโตของเราดิ แม่รู้สึกยังไงกะลูกล่ะ
เอ็นดูใช่มั๊ย สงสารใช่มั๊ย ให้มีเมตตากรุณาต่อผู้ชายทุกคนที่คุยด้วย แต่ไม่หวั่นไหวกะใครง่าย ๆ
ความอายจะหายไป ............ทำได้ป่าว
@ มีคนใส่ร้ายเราเราโกรธมากจนนอนไม่หลับ
เขาทำความชั่วเขาก็ได้ผลชั่วของเขาเอง เรามามัวนอนโกรธ จนนอนไม่หลับ
อย่างนี้ก็สมใจเขาสิ เปลี่ยนไม่ถือสาหาความ เมตตาเอ็นดูเขาดีกว่านอนหลับสบาย แถมฝันดีอีกต่างหาก
@ มีแฟนหลายคนสับหลีกไม่ทันอะ
มีแฟนเยอะ แสดงว่าเรายังไม่เจอรักแท้ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะลองแกล้งป่วยดู
ถ้าคนไหนมาเยี่ยม แสดงว่าคนนั้นก็ผ่านรอบคัดเลือก
เราจะทดสอบกลั่นกรองให้เหลือคนที่ดีที่สุด เพราะรักเดียวใจเดียวคือความสุขที่แท้จริง
@ ครูสอนน่าเบื่อโดดเรียนดีกว่าเรา
โดดเรียน ได้ผ่อนคลาย มีเสรี จะไปไหนก็ได้ อึมม์...มันก้อดีเหมือนกันนะ แต่ทว่า...
มันเป็นการหนีปัญหา เพราะอีกหน่อยเราก็คงต้องหนีเรื่อยไป หนีหน้าคน -หนีการงาน -หนีความรับผิดชอบ
ขืนเป็นอย่างนี้ อนาคตของเราคงจะไปไม่รอดแน่ๆ สู้เลย..! จะไปกลัวอะไร ถ้าครูสอนน่าเบื่อ
เราก็เรียนให้มันน่าสนุกสิ ง่ายจะตายไป เรื่องอะไรจะหนีเรียนให้เสียชื่อ เราสู้วันนี้ วันหน้าสบายมาก เย.."
@ ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะครับทำไมผู้ใหญ่ชอบบังคับกันเรื่อย
ถ้าไม่อยากให้รู้สึกว่ามีคนมาบังคับ ก็ต้องทำอะไรด้วยเหตุผลของตัวเอง
เช่น :-
โรงเรียนบังคับให้ตัดผม
เราก็คิดว่า "เราตัดผมไม่ใช่เพราะกลัวลงโทษ แต่เราตัดผมเพราะเราเคารพกฎของโรงเรียนต่างหาก"
แม่สั่งให้เก็บที่นอนทุกเช้า
เราก็คิดว่า "ที่เราทำไม่ใช่เพราะกลัวแม่ด่า แต่เพราะเห็นว่ามันเป็นระเบียบเรียบร้อยดีต่างหาก"
พ่อบังคับไม่ให้เราไปเที่ยวไหนในวันหยุด
เราก็คิดว่า ที่เราไม่ไปไหน ไม่ใช่เพราะกลัวพ่อดุ แต่เพราะเราต้องการจะฝึกตัวเองให้เข้มแข็งต่างหาก" ฯลฯ
@ มีครูอยู่วิชาหนึ่งไม่ให้เกียรตินักเรียนชอบพูดสบประมาทเด็กอยู่เรื่อยเลย
ทุกครั้งที่ได้ยินถ้อยคำดูหมิ่น ให้ยิ้มน้อยๆด้วยความเข้าใจและเห็นใจ(ผู้พูด) และ ให้คิดในใจว่า"
พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญเราผู้ที่มีความหนักแน่น อดทนต่อถ้อยคำ
ประกอบดัวย เมตตา และ ปัญญา ว่าเป็น ผู้ใหญ่ หาใช่ เด็ก ไม่ "
@ เป็นโรคใจง่ายเข้าใกล้คนหล่อ ๆทีไรหวั่นไหวทุกที
เวลาเข้าใกล้คนหล่อ ให้นึกถึงอะไรที่น่าเกลี๊ยด น่าเกลียดภายในตัวของเขาสิ เช่น
ขนจมูกของเขา ขี้หูของเขา ขี้ตา... .. รังแค.... อึ ..(แหวะ) คิดอย่างนี้ เดี๋ยวก็หายหวั่นไหวไปเอง ..ไม่เชื่อ ลองดูดิ
@ เพื่อนๆ ในห้องมีแฟนกันหมดแล้วมีเหลือแต่เรา "แหง่ว..ว" อยู่คนเดียว
คิดมุมกลับ.. " เพื่อนๆ ในห้องหาเรื่องไปร้อนรนทุรนทุรายกันหมดแล้ว เหลือแต่เราอยู่เย็นเป็นสุขอยู่คนเดียว เย..! "
@ อยากเที่ยวกลางคืนให้มันสนุกสุดเหวี่ยงไปเลย
สุดเหวี่ยงจนลงเหวน่ะสิไม่ว่า เที่ยวกลางคืนเนี่ยปากทาง แห่งความเสื่อมเลยนะตัวเอง
@ ข้างบ้านชอบแต่งตัวโป๊ขอคาถาข่มใจหน่อยดิ
โอม ! ... ธรรมดาๆๆ ๆไม่เห็นจะน่าตื่นเต้นอะไร เหม็นขี้เหงื่อ เหม็นขี้ไคล ใคร ๆ ที่ไหน ก็เหมือนกัน (ท่องไปจ้องไปนะ )
ป้ายกำกับ:
เคล็ดลับ น่ารู้
คู่มือการใช้ความรักที่ถูกวิธี
สวัสดีผู้ใช้ทุกท่าน
ทางบริษัทขอขอบคุณท่านที่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ความรัก "Model LOVE" จากบริษัทเรา
โปรดอ่านคู่มือการใช้งานนี้ให้เข้าใจก่อนที่จะใช้งาน
1.. สิ่งที่ท่านจะได้รับมาพร้อมกับผลิตภัณฑ์นี้
(1.) หัวใจ 1 ชุด
(2.) พลังงานความมั่นใจ 1 ก้อน
(3.) แท่นชาร์จความจริงใจ 1 แท่น
(4.) สายความซื่อสัตย์ 1 เส้น
-- อุปกรณ์เสริม "การให้อภัย" และ "การยอมรับซึ่งกันและกัน"
ไม่ได้รวมมาในชุดพื้นฐานนี้
ท่านสามารถหาซื้อเพิ่มเติมได้ภายหลังจากตัวแทนจำหน่าย
2.. เริ่มต้นใช้งาน
- เปิดหัวใจออกให้กว้างที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้
ใส่ความมั่นใจเข้าไปที่ด้านหลังเครื่อง ดูขั้วบวกขั้วลบให้ถูกต้อง
หากท่านใส่ความมั่นใจผิดขั้ว มันอาจจะส่งผลให้เสียความมั่นใจ
หรือไม่ก็มั่นใจเกินกว่าเหตุ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
มันทำให้ระบบทำงานไม่สมบูรณ์
-วางหัวใจที่ใส่ความมั่นใจลงไปแล้วลงบนแท่นชาร์จความจริงใจต่อด้วยสายความซื่อสัตย์
จากนั้นชาร์จความจริงใจลงไปในหัวใจให้มากที่สุด
- ในช่วงเริ่มต้นของความรัก
ท่านอาจจะต้องใช้เวลาในการเติมความจริงใจนานกว่าปกติ
เพื่อให้มีพลังไปหล่อเลี้ยงความมั่นใจได้เพียงพอในการเริ่มต้นใช้งาน
ในการชาร์จครั้งแรก หากสายความซื่อสัตย์หลุด ระบบอาจจะเสียหายสมบูรณ์ได้
3.. วิธีใช้งาน
- ง่ายๆ
มอบหัวใจที่ใส่ความมั่นใจและความจริงใจลงไปเต็มแล้วให้แก่ใครก็ได้ที่คุณต้องการ
ถ้าเขามีคลื่นความรักที่ตรงกับคุณ ความรักจะปรับจูนจนติด
แค่เนี้ยะก็เสร็จแล้ว
4.. ข้อผิดพลาดและวิธีการแก้ปัญหาเบื้องต้น
(1.) ส่ง "ความรัก" ออกไปแล้วไม่ได้รับการตอบสนอง
- การแก้ไข : ตรวจสอบว่าใส่ความมั่นใจลงไปแล้วหรือยัง
ตรวจสอบว่าชาร์จความจริงใจลงไปเต็มที่แล้วหรือไม่
ตรวจสอบว่าสายความซื่อสัตย์นั้นต่ออยู่อย่างถูกต้องหรือไม่
(2..) ทำความรักตกลงบนพื้น เกิดอาการช็อตและความร้อนขึ้น
- ความรักที่ตกลงพื้นแล้วครั้งหนึ่ง อาจจะแก้ไขได้ด้วยอุปกรณ์เสริม
"การให้อภัย" อย่างไรก็ตาม ความรักที่ตกพื้นแล้ว แม้ยังไม่แตก
แต่ก็มีรอยร้าวเป็นตำหนิได้ และความมั่นใจอาจจะลดลงไปจนเกือบหมด
ให้ชาร์จความจริงใจเพิ่มลงไปให้มากที่สุด โดยใช้ร่วมกับ "การให้อภัย"
(3..) เกิดความต่างศักย์ระหว่างความรักมากจนไม่สามารถจูนคลื่นติดได้
- ลองเปิดใจเพื่อจูนคลื่นใหม่ หากไม่ได้ผล ควรใช้อุปกรณ์เสริม
"การยอมรับซึ่งกันและกัน" แต่หากใช้แล้วก็ยังไม่ได้ผลอยู่อีก
ควรปิดสวิตช์ฉุกเฉิน "ตัดใจ" เพราะมิเช่นนั้น
ความต่างศักย์อาจจะช็อตให้ความรักของคุณเสียหายได้
5.. ข้อจำกัดการรับประกัน
บริษัทขอสงวนสิทธิในการไม่รับประกันหรือไม่รับซ่อมหัวใจที่เสียหาย
ในกรณีที่ผู้ใช้พยายามนำความรักไปยัดเยียดให้บุคคลที่เขาไม่ต้องการ
หรือพยายามจูนเข้ากับความรักที่ต่างศักย์กันมากๆ จนมีปัญหาเข้ากันไม่ได้
ความเสียหาย แตกหัก หรือการทำงานผิดพลาดของความรักในเหตุดังกล่าวนี้
ถือเป็นความบกพร่องของผู้ใช้งานเอง
6.. คำเตือน
เคยมีรายงานว่า ความรักอาจจะมีผลกระทบทำให้คนตาบอด หูหนวก หรือตาฝ้าฟางได้
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็น ความรักอาจจืดจางได้ หากอยู่ห่างไกลด้วยระยะทาง
หรืออยู่นอกพื้นที่บริการ
หวังว่าทุกท่านคงมีความสุขกับผลิตภัณฑ์อันเป็นที่ภาคภูมิใจของเราของเรา..
บริษัท "กามเทพ" จำกัด (The Cupid Inc.)
ทางบริษัทขอขอบคุณท่านที่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ความรัก "Model LOVE" จากบริษัทเรา
โปรดอ่านคู่มือการใช้งานนี้ให้เข้าใจก่อนที่จะใช้งาน
1.. สิ่งที่ท่านจะได้รับมาพร้อมกับผลิตภัณฑ์นี้
(1.) หัวใจ 1 ชุด
(2.) พลังงานความมั่นใจ 1 ก้อน
(3.) แท่นชาร์จความจริงใจ 1 แท่น
(4.) สายความซื่อสัตย์ 1 เส้น
-- อุปกรณ์เสริม "การให้อภัย" และ "การยอมรับซึ่งกันและกัน"
ไม่ได้รวมมาในชุดพื้นฐานนี้
ท่านสามารถหาซื้อเพิ่มเติมได้ภายหลังจากตัวแทนจำหน่าย
2.. เริ่มต้นใช้งาน
- เปิดหัวใจออกให้กว้างที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้
ใส่ความมั่นใจเข้าไปที่ด้านหลังเครื่อง ดูขั้วบวกขั้วลบให้ถูกต้อง
หากท่านใส่ความมั่นใจผิดขั้ว มันอาจจะส่งผลให้เสียความมั่นใจ
หรือไม่ก็มั่นใจเกินกว่าเหตุ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
มันทำให้ระบบทำงานไม่สมบูรณ์
-วางหัวใจที่ใส่ความมั่นใจลงไปแล้วลงบนแท่นชาร์จความจริงใจต่อด้วยสายความซื่อสัตย์
จากนั้นชาร์จความจริงใจลงไปในหัวใจให้มากที่สุด
- ในช่วงเริ่มต้นของความรัก
ท่านอาจจะต้องใช้เวลาในการเติมความจริงใจนานกว่าปกติ
เพื่อให้มีพลังไปหล่อเลี้ยงความมั่นใจได้เพียงพอในการเริ่มต้นใช้งาน
ในการชาร์จครั้งแรก หากสายความซื่อสัตย์หลุด ระบบอาจจะเสียหายสมบูรณ์ได้
3.. วิธีใช้งาน
- ง่ายๆ
มอบหัวใจที่ใส่ความมั่นใจและความจริงใจลงไปเต็มแล้วให้แก่ใครก็ได้ที่คุณต้องการ
ถ้าเขามีคลื่นความรักที่ตรงกับคุณ ความรักจะปรับจูนจนติด
แค่เนี้ยะก็เสร็จแล้ว
4.. ข้อผิดพลาดและวิธีการแก้ปัญหาเบื้องต้น
(1.) ส่ง "ความรัก" ออกไปแล้วไม่ได้รับการตอบสนอง
- การแก้ไข : ตรวจสอบว่าใส่ความมั่นใจลงไปแล้วหรือยัง
ตรวจสอบว่าชาร์จความจริงใจลงไปเต็มที่แล้วหรือไม่
ตรวจสอบว่าสายความซื่อสัตย์นั้นต่ออยู่อย่างถูกต้องหรือไม่
(2..) ทำความรักตกลงบนพื้น เกิดอาการช็อตและความร้อนขึ้น
- ความรักที่ตกลงพื้นแล้วครั้งหนึ่ง อาจจะแก้ไขได้ด้วยอุปกรณ์เสริม
"การให้อภัย" อย่างไรก็ตาม ความรักที่ตกพื้นแล้ว แม้ยังไม่แตก
แต่ก็มีรอยร้าวเป็นตำหนิได้ และความมั่นใจอาจจะลดลงไปจนเกือบหมด
ให้ชาร์จความจริงใจเพิ่มลงไปให้มากที่สุด โดยใช้ร่วมกับ "การให้อภัย"
(3..) เกิดความต่างศักย์ระหว่างความรักมากจนไม่สามารถจูนคลื่นติดได้
- ลองเปิดใจเพื่อจูนคลื่นใหม่ หากไม่ได้ผล ควรใช้อุปกรณ์เสริม
"การยอมรับซึ่งกันและกัน" แต่หากใช้แล้วก็ยังไม่ได้ผลอยู่อีก
ควรปิดสวิตช์ฉุกเฉิน "ตัดใจ" เพราะมิเช่นนั้น
ความต่างศักย์อาจจะช็อตให้ความรักของคุณเสียหายได้
5.. ข้อจำกัดการรับประกัน
บริษัทขอสงวนสิทธิในการไม่รับประกันหรือไม่รับซ่อมหัวใจที่เสียหาย
ในกรณีที่ผู้ใช้พยายามนำความรักไปยัดเยียดให้บุคคลที่เขาไม่ต้องการ
หรือพยายามจูนเข้ากับความรักที่ต่างศักย์กันมากๆ จนมีปัญหาเข้ากันไม่ได้
ความเสียหาย แตกหัก หรือการทำงานผิดพลาดของความรักในเหตุดังกล่าวนี้
ถือเป็นความบกพร่องของผู้ใช้งานเอง
6.. คำเตือน
เคยมีรายงานว่า ความรักอาจจะมีผลกระทบทำให้คนตาบอด หูหนวก หรือตาฝ้าฟางได้
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็น ความรักอาจจืดจางได้ หากอยู่ห่างไกลด้วยระยะทาง
หรืออยู่นอกพื้นที่บริการ
หวังว่าทุกท่านคงมีความสุขกับผลิตภัณฑ์อันเป็นที่ภาคภูมิใจของเราของเรา..
บริษัท "กามเทพ" จำกัด (The Cupid Inc.)
ป้ายกำกับ:
Sweet memory stories
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)