10.09.2551

อเมริกัน กับ ยุโรป

คนเปรียบเทียบ นิติภูมิ นวรัตน์
>
> แสดงความคิดเห็น
>
> กลับถึงเมืองไทย ได้รับอีเมล์จากผู้อ่านท่านขอให้เปรียบเทียบนิสัยใจคอ
> ของคนยุโรปกับคนอเมริกัน จากนั้นท่านก็ถามว่า
> คนอเมริกันแตกต่างจากคนยุโรปอย่างไรคะ? ก็ขออนุญาตออกตัวไว้ซะก่อนว่า
> นี่คือความเห็นส่วนตัวของนิติภูมิคนเดียว
> สำหรับผม ผมเห็นว่า คนยุโรปมีความเป็นระเบียบและมี วินัยมากกว่าคนอเมริกัน
> ผู้อ่านท่านที่เคารพคงทราบดี สังคมอเมริกันเกิดจากพวกปฏิเสธกฎระเบียบของยุโรป
> จึงพากันอพยพไปหาแผ่นดินใหม่
> คนที่ออกจากแผ่นดินยุโรปไปอเมริกาในยุคแรกเริ่มเดิมที
> เป็นพวกที่อยู่ร่วมสังคมเดิมไม่ได้ บางคนก็เป็นอันธพาล เป็นนักแสวงโชค
> เป็นนักผจญภัย ฯลฯ สังคมอเมริกันในยุคที่ก่อกำเนิดเกิดชาติสหรัฐอเมริกาใหม่ๆ
> เป็นสังคมไร้ระเบียบ ไม่มีวินัย คนที่แข็งแรงกว่าเท่านั้นจึงจะอยู่รอด
> ชีวิตและจิตวิญญาณของคนอเมริกันจึงชอบสงคราม
> ไหนจะต้องทะเลาะกันเองเพื่อความอยู่รอด
> ไหนจะต้องทำสงครามกับพวกเจ้าของทวีปที่อยู่ตั้งแต่ดั้งเดิม คือพวกอินเดียนแดง
> ว่ากันตามความเป็นจริง
>
แผ่นดินอเมริกาทุกตารางนิ้วถูกสร้างมาจากการแย่งชิงและทำลายล้างเผ่าพันธุ์คนพื้
> นเมือง ทำลายเสร็จ คนขาวก็เข้าครอบครองเพื่อขุดทอง ทำการเกษตร ล่าสัตว์ ฯลฯ
> แล้วก็อยู่กันเป็นกลุ่มๆ กลุ่มใครกลุ่มมัน แต่ละกลุ่มก็ยังห้ำหั่นกัน
> สิ่งที่ประกันความปลอดภัยให้สังคมอเมริกันในยุคก่อเกิดมีเพียงสองสามอย่าง
ก็คือ
> อาวุธและ การต่อสู้
> จิตใจของคนอเมริกันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจึงก้าวร้าวกว่าคนยุโรป
> ซึ่งพวกยุโรปเป็นกลุ่มคนที่ถูกกลมกล่อมด้วยเสียงดนตรีและศาสนา
> พูดถึงเรื่องความเกรงใจ ผมว่าคนเอเชียและคนแอฟริกันยังมีมากกว่าคนทวีปอื่น
> รองไปจากนั้น ก็เห็นจะเป็นพวกยุโรปและออสเตรเลีย ส่วนคนอเมริกัน
> ท่านอย่าไปหาความเกรงใจเลยครับ ไม่มี แถมยังไม่อ่อนน้อมถ่อมตน
> ไม่มีการประนีประนอม คนอเมริกันคิดว่า คนที่มีบุคลิกภาพประนีประนอม เป็นพวก
> “อ่อนแอ” เป็นมนุษย์ที่ “ไม่น่าคบ”
> นักการเมืองไทยหลายท่าน แม้ว่าจะสำเร็จการศึกษาจากสหรัฐอเมริกามาก็ตาม
> แต่ก็ยังไม่เข้าใจสิ่งที่อยู่ใต้สมองของคนอเมริกัน
เมื่อเดินทางไปเยือนอเมริกา
> ก็จะเปล่งแต่ปิยวาจาและมีกิริยาอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่กล้าเจรจา ไม่กล้าต่อรอง
ฯลฯ
> นายกรัฐมนตรีของเราบางท่านเอาแต่เอ่ย จ้ะ จ้ะ
> แล้วก็เสงี่ยมเจียมตัวนั่งยังกะลิงป่วยต่อหน้าประธานาธิบดีของสหรัฐฯ
> โดยนึกอยู่ในใจว่า อ้า อ้า ข้าจะต้องทำตัวให้น่ารัก
> เพื่อนักการเมืองของอเมริกาจะได้เอ็นดู แต่ที่ไหนได้ คนอเมริกันกลับคิดว่า
> ไอ้ผู้นำบ้าคนนี้นี่ บุคลิกภาพใช้ไม่ได้ ขี้ขลาด อ่อนแอ
> ความอ่อนน้อมถ่อมตนและความเกรงใจ ยังนำไปใช้ได้ผลในสังคมยุโรปครับ
ในสังคมยุโรป
> ผู้คนยังสนใจ “วิธีการ” กันอยู่บ้าง ส่วนสังคมอเมริกัน สนใจกันแต่ “เป้าหมาย”
> ขอให้ไปถึงเป้าหมายให้ได้ เท่านั้นเป็นพอ
> สังคมไทยดูหมิ่นถิ่นแคลนรายการโทรทัศน์และภาพยนตร์ของเอเชียและแอฟริกา
> หรือแม้แต่ของยุโรป คนของเราดูหนังอเมริกันมากไป
> ปรัชญาการใช้ชีวิตของคนไทยจึงเปลี่ยน
> ไปตามที่ภาพยนตร์อเมริกันหล่อหลอมเราให้เป็น คือ ทุกวินาทีสมองคิดถึงแต่
> “เป้าหมาย” เช่น ข้าจะรวยให้ได้ ข้าจะต้องเป็นรัฐมนตรีให้ได้
> เป็นนายกรัฐมนตรีให้ได้ เป็นอธิบดีให้ได้ โดยไม่คำนึงถึง “วิธีการ”
> รวยโดยการโกงชาติบ้านเมือง ก็เอา ซื้อเสียงให้ได้เป็น ส.ส.
> เพื่อไต่ไปเป็นรัฐมนตรี ก็เอา เลี้ยง ส.ส. เป็นคอกๆ เหมือนเลี้ยงหมูเลี้ยงหมา
> ก็เอา วิ่งเต้นซื้อตำแหน่งเพื่อไต่จนได้เป็นถึงอธิบดี ก็เอา
> แผ่นดินถิ่นไทยในปัจจุบันของเรา จึงเต็มไปด้วยเศรษฐีโจร รัฐมนตรีขี้โกง
> นายกรัฐมนตรีบ้าอำนาจ อธิบดีเก้าอี้ซื้อ ฯลฯ นี่แหละครับ
> ผลพวงจากการเลียนแบบชีวิตจากสังคมอเมริกัน โดยละทิ้งปรัชญาเดิมของยุโรป
> เอเชียและแอฟริกา
> รับใช้คำถามที่ผู้อ่านท่านส่งมาว่า คนอเมริกันแตกต่างจากคนยุโรปอย่างไร?
> ผู้อ่านท่านที่เคารพครับ
> คนยุโรปยังเป็นพวกที่มีจิตกรุณาและเชื่อพระเจ้าอยู่บ้าง
> ส่วนคนอเมริกันเชื่อในอำนาจมนุษย์มากกว่าอำนาจของพระเจ้า
>
เมื่อเชื่ออย่างนี้ก็เลยมีการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์กันมากมายเพื่อที่จะเอา
> ชนะธรรมชาติ เมื่อไม่คำนึงถึงศาสนา ในสังคมอเมริกันจึงไม่มีบาป บุญ คุณ โทษ
ฯลฯ
> เหมือนคนยุโรป (และคนเอเชียกับคนแอฟริกัน)
> อเมริกาจึงโกหกได้อย่างไม่ละอายบาป ผู้อ่านท่านลองใช้เวลาเงียบๆ
> นึกตรึกตรองดูเถิดครับ คนอเมริกันมีแต่จับผิดและโยนความผิดไปให้คนอื่น
> คนอื่นเลว คนอื่นไม่ดี
> ในขณะเดียวกันมาตรฐานที่ใช้วัดเพื่อตำหนิติเตียนผู้อื่นนั้น
> ใช้วัดคนอเมริกันไม่ได้
> เมื่อตอนที่มีการก่อวินาศกรรมตึกเวิลด์เทรด เมื่อ 11 ก.ย. 2544
> แผ่นดินอเมริกันน่ะสุดแสนจะอันตราย
> แม้แต่น่านฟ้าและกระทรวงกลาโหมของตัวเองยังป้องกันไม่ได้ ก็ไม่เห็นมีใคร
> ประเทศไหนซํ้าเติมด้วยการออกมาประกาศเตือนพลเมืองของตัวว่าอย่าไปอเมริกา
> เพราะเป็นแดนดินถิ่อันตราย รัฐบาลแทบทุกประเทศมีแต่ให้ความเห็นใจ
> ส่งสารแสดงความเสียใจกันว่อนไปทั้งอากาศ
> แถมยังยินยอมพร้อมกันร่วมมือต่อต้านการก่อการร้าย
> ปีนี้มีระเบิดเกิดขึ้นที่บาหลี อินโดนีเซีย เป็นดินแดนแสนไกลจากเมืองไทยแท้ๆ
> รัฐบาลอเมริกันยังประกาศไปทั่วโลกว่า ประเทศไทยอันตราย
> ทำให้การท่องเที่ยวของเราพังพาบ เศรษฐกิจของเราย่อยยับ
> มาตรฐานอย่างนี้นี่แหละครับ ที่รัฐบาลอเมริกันไม่ยุติธรรม
> หรืออย่างการตรวจอาวุธในอิรัก ผู้อ่านท่านลองนึกซีครับ
> ใครมีอาวุธร้ายอยู่ในความครอบครองมากกว่ากัน ระหว่างอเมริกากับอิรัก?
> และใครใช้อาวุธร้ายทำลายชีวิตมนุษย์มากกว่ากัน
> อเมริกาเข่นฆ่ามนุษย์ด้วยอาวุธร้ายไปเป็นล้านๆ คนแล้ว
> นับตั้งแต่ไปทิ้งระเบิดปรมาณู ที่ฮิโรชิมากับนางาซากิ
> ลองนึกถึงระเบิดที่เกิดทุกตารางกิโลเมตรในเวียดนามซี
> ในอิรักนี่มนุษย์ผู้บริสุทธิ์ก็โดนฆ่าตาย โดยทหารอเมริกันไปเท่าไร?
> มาตรฐานวัดประเภท “ข้าถูกคนเดียว คนอื่นเลวหมด” อย่างนี้
> ปัจจุบันถูกฝังลึกลงไปใต้สมองของคนอเมริกัน
ในขณะที่ผู้คนในทวีปยุโรปหลายประเทศ
> ยังพอมีความยุติธรรมอยู่บ้าง
> คนยุโรปในหลายประเทศ โดยเฉพาะพวกที่อยู่ในภูมิภาคสแกนดิเนเวีย
> อยากจะอยู่ในโลกอย่างแบ่งปันความสุขกันทุกทั่วตัวคน แต่คนชนชั้นนำของอเมริกัน
> ทั้งพวกชั้นนำที่เป็นนักการเมือง นักธุรกิจ นักการสื่อสารมวลชน นักการศึกษา
ฯลฯ
> คิดอยู่อย่างเดียวว่า ข้า “จะต้องครองโลก” ให้ได้ ใครขัดขืนคนนั้นเลว
> เป็นคนที่อเมริกาต้องกำจัดไปให้พ้น ผู้นำหลายท่านของหลายประเทศเป็นคนดีของแท้
> แต่ขัดประโยชน์อเมริกา ไม่ยอมให้นักธุรกิจอเมริกันเข้ามาหาสัมปทานสูบเลือด
> ก็จะโดนสื่อมวลชนอเมริกันยำ เมื่อโดนข่าวเสียจนเหม็นไปทั้งโลกแล้ว
> รัฐบาลอเมริกันก็จัดการเปลี่ยนตัวผู้นำซะใหม่ แถมยังเอาผู้นำดีๆ
> ไปขังคุกเสียหลายท่าน
> อเมริกาเป็นพวกที่ยึดประโยชน์นิยมจ๋า
> สิ่งนี้แหละครับที่แตกต่างกันระหว่างอเมริกา กับยุโรป เพราะความที่ยึด
> “ประโยชน์นิยม” เป็นสรณะ ทำให้คนอเมริกันเป็นพวกที่ มีลักษณะก้าวร้าว
> พร้อมจะแตกหัก และไม่เคยให้อะไรใครฟรี
> ผู้อ่านท่านเคยสังเกตนักเศรษฐศาสตร์ในบ้านเราหลายคน
> ที่ถูกการศึกษาแบบอเมริกันครอบกะโหลกบ้างไหมครับ ถ้าเป็นพวกที่บ้าอเมริกา
> เป็นมนุษย์พันธุ์ไทยใจอเมริกันนิยม นักวิชาเกินวิชาแกนเหล่านี้
> จะพยายามกล่อมคนไทยด้วยการเขียนหนังสือประเภท “ในโลกนี้ไม่มีอะไรฟรี”
> ออกเป็นพ็อกเกตบุ๊กบ้าง เขียนเป็นบทความไปลงตาม หนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ บ้าง
> เพื่อให้คนไทยรุ่นใหม่ยอมรับให้ได้ถึงปรัชญา “ประโยชน์นิยม” และ “กูนิยม”
> ในขณะที่นักวิชาการผู้สนใจยุโรป จะไม่ค่อยคำนึงถึงสิ่งนี้
> ยิ่งถ้าเป็นคนเอเชียพวกที่ เห็นใจในมนุษย์ด้วยกัน พวกนี้ถึงขนาดมีปรัชญา
> “บุญนิยม” เสียด้วยซ้ำ
> ผู้อ่านท่านที่เคารพครับ ผมเขียนคอลัมน์ทั้งสองวันนี้
> โดยที่ตั้งใจว่าจะไม่ตรวจทานและไม่แก้เลย
> ประสงค์ก็คือต้องการให้ออกมาจากความรู้สึกจริงๆ
> ว่าคิดยังไงกับคนอเมริกันและคนยุโรป.

ไม่มีความคิดเห็น: