จากประสบการณ์การทำงานเป็นดีไซเนอร์ชุดแต่งงานมานาน พบว่าในขั้นตอนแรกของการออกแบบเจ้าสาวมักเทคะแนนความกังวลถึงแบบของชุดมากที่สุด เมื่อชุดถูกตัดเรียบร้อยแล้ว จะพบว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่หลังจากนั้นคือ เรื่องของเนื้อผ้าที่เลือกใช้ จะได้ยินคำพูดว่า ‘ไม่น่าใช้ผ้าแบบนี้เลย หรือทำไมไม่เลือกผ้าแบบนั้น’ เพราะเกือบ 50 เปอร์เซนต์ที่แบบของชุดกับเนื้อผ้าไม่ไปด้วยกัน โดยเฉพาะชุดแต่งงานสำหรับเจ้าสาวรูปร่างอวบหรือเจ้าเนื้อ ข้อจำกัดในการเลือกใช้ผ้าสำหรับออกแบบชุดแต่งงานของเจ้าสาวเจ้าเนื้อมีค่อนข้างมาก และเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องรู้ว่า ผ้าชนิดไหนใส่แล้วช่วยพรางจุดด้อยของรูปร่างได้ดี ผ้าชนิดไหนที่ดูสวยแต่ห้ามใช้
ทำความรู้จักผ้า คงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า เจ้าสาวเจ้าเนื้อต้องใช้ผ้าเนื้อหนาตัดชุดแต่งงาน เพื่อให้ความหนาของผ้าเป็นตัวซ่อนจุดบกพร่องของรูปร่าง และเก็บเนื้อได้ดี แต่ผ้าเนื้อหนานั้น ก็ใช่ว่าจะใช้ได้ดีเหมือนกันทุกชนิด เพราะแต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน และมีทั้งผ้าเนื้อหนาที่ใช้ได้ และใช้ไม่ได้เลย
ผ้าเนื้อหนาที่ไม่ควรใช้
-ผ้าไหมอิตาลีที่มีความหนา 270 เส้นขึ้นไป ถ้านึกไม่ออกว่าผ้าไหมอิตาลีที่ว่าหนาแค่ไหน ให้นึกถึงผ้าวูลที่ใช้สำหรับตัดสูทผู้ชาย เพราะเป็นเนื้อผ้าที่มีความหนาใกล้เคียงกัน
-ผ้าไหมไทย ที่ทอด้วยมือตั้งแต่ 2 เส้นขึ้นไป ผ้าไหมไทยที่ทอด้วยมือจะเป็นไหมล้วนๆ ทำให้เนื้อผ้ามีความแข็งมาก และมีความเงาสูง คุณสมบัติทั้งแข็งและเงาเป็นข้อห้ามสำหรับเจ้าสาวเจ้าเนื้อเพราะความแข็งทำให้ดูตัวหนา ความเงาจะเน้นรูปร่างที่ใหญ่อยู่แล้วให้แลดูชัดเจนขึ้นอย่างที่เรียกว่า ‘ขึ้นลำ’
-ผ้าวูล ไม่มีเจ้าสาวคนไหนเลือกผ้าตัดสูทมาตัดชุดแต่งงานของตัวเอง ยกให้เป็นผ้าสำหรับตัดสูทให้เจ้าบ่าวดีกว่า
ผ้าเนื้อหนาที่ใส่แล้วสวย
- ผ้าไหมไทย ที่ทอด้วยเครื่อง ความแตกต่างของผ้าไหมแบบทอมือกับทอเครื่องคือ ผ้าไหมที่ทอด้วยเครื่องจะมีส่วนผสมของเรยอน ทำให้เนื้อผ้ามีความนิ่มมากกว่า ไหมไทยที่ทอด้วยเครื่องที่เหมาะนำมาตัดเป็นชุดแต่งงานคือ ผ้าไหมจิมทอมสัน ผ้าไหมชินวัตร
- วูลซิลค์ เป็นเนื้อผ้าที่ผสมกันระหว่างผ้าไหมกับผ้าวูล ก่อนอื่นต้องทำความรู้จักกับคุณสมบัติของผ้าแต่ละชนิดก่อน ผ้าวูลเป็นผ้าเนื้อหนา ผิวสัมผัสลื่นมือแต่ไม่นุ่ม มีน้ำหนัก ผ้าไหมเป็นผ้าเนื้อหนาแข็ง มีความเงา ไม่มีน้ำหนัก เมื่อนำใยผ้าทั้งสองมาผสมกันจะได้ผ้าเนื้อหนาที่มีความนิ่ม น้ำหนักกำลังดี และมีความมันเงาที่สวยคือไม่เล่นแสงมากจนเกินไป
- แคชเมียร์วูล หรือแคชเมียร์ซาติน เนื้อผ้าแคชเมียร์มีความหนาใกล้เคียงกับผ้าวูลและผ้าไหม นุ่มกว่าแต่ไม่มีน้ำหนัก เมื่อนำมาผสมกับวูลหรือไหม จะมีน้ำหนักและนุ่มขึ้น เป็นชนิดของเนื้อผ้าที่ใช้ตัดชุดแต่งงานสำหรับเจ้าสาวเจ้าเนื้อได้สวยอีกชนิดหนึ่ง
- ดัชเชสซิลค์ เนื้อผ้าดัชเชสเป็นผ้าตระกูลเดียวกับผ้าซาตินคือเป็นผ้าเนื้อหนาที่มีผิวสัมผัสนุ่มลื่นมือ เมื่อผสมกับไหม เกิดเป็นผ้าเนื้อหนาที่ขึ้นลายเส้น คือมีรายละเอียดของลายผ้าเกิดขึ้นเรียกว่าขิด มีข้อดีคือเมื่อตัดเย็บตามแนวยาวของลายผ้าจะทำให้รูปร่างเจ้าสาวดูโปร่งขึ้น ข้อดีอีกอย่างของดัชเชสซิลค์ก็คือ ไม่ค่อยย่น และให้ความกระชับสูง ทำให้ควบคุมเนื้อได้ดี
ดัชเชสซิลค์ เหมาะกับชุดที่มีเส้นคัตติ้งเยอะอย่างคอร์เซ็ท เพราะเป็นชุดที่มีการตัดเย็บเพื่อให้เข้ารูปมากที่สุด จึงมีการตัดต่อและมีเส้นต่อของผ้าเยอะ สิ่งแรกที่ต้องระวังคือ รอยย่นระหว่างผ้าแต่ละชิ้นเพราะเมื่อเกิดรอยย่นความกระชับก็จะลดลง
True or False
มีหลายคนบอกว่าใช้ผ้าไหมไทยตัดคอร์เซ็ทดีเพราะเนื้อผ้ามีความหนา สามารถโอบรัดเนื้อได้ดี แต่ความจริงคือไม่เหมาะเท่าที่ควร เพราะเมื่อมีคัตติ้งและเส้นตัดต่อมากขึ้น ผ้าไหมจะเกิดความเงามากขึ้น เรารู้สึกว่ารูปร่างกระชับก็จริงขึ้นแต่คนมองจะมองเห็นตัวเราหนาขึ้น
-ผ้าไหมซาติน เนื้อผ้าซาตินอย่างเดียวดูเงาเกินไปสำหรับเจ้าสาวเจ้าเนื้อ แต่เมื่อนำไหมมาผสม เกิดเป็นเนื้อผ้าที่มีความนุ่มลื่นกว่าผ้าดัชเชสซิลค์ ข้อดีของผ้าไหมซาตินคือ เนื้อผ้าทิ้งตัวได้ดี ไม่แนบเนื้อ
-ผ้าไหมสเปน เนื้อผ้าที่มีส่วนผสมระหว่างเส้นใยโพลีเยสเตอร์กับไหม ถ้านึกไม่ออกให้นึกถึงผ้าลินิน คุณสมบัติของลินินเป็นผ้าเนื้อโปร่ง เบา ไม่เงาและยับง่าย ไหมสเปนมีคุณสมบัติของเนื้อผ้าใกล้เคียงกันคือ เนื้อผ้าโปร่งเหมือนกัน แต่ด้วยส่วนผสมของผ้าไหมทำให้มีความเงานวล เนื้อเนียนและหรูกว่า ข้อดีคือมีความเบาบางก็จริงแต่ไม่พริ้วมากจนไม่เป็นรูป สามารถตัดเย็บเป็นชุดแต่งงานแบบเรียบหรูที่ไม่ต้องการรายละเอียดของชุดมากนัก เพราะเนื้อผ้ามีลายในตัวอยู่แล้ว
-ผ้าไหมชานตุง เป็นเนื้อผ้าที่ผสมระหว่างผ้าเครปและผ้าไหมโดยใช้เทคนิกการทอให้ขึ้นฟูก อย่างผ้าไหมสี่เส้นของไทย เนื้อผ้าจึงไม่ขึ้นเงาแบบผ้าไหม เป็นผ้าที่สวยจบในตัวจึงเหมาะกับการตัดชุดแต่งงานแบบเรียบๆ ไม่ต้องการตกแต่งลูกไม้หรือปักอะไรเพิ่มเติม เน้นความเรียบโก้ ดูดี คัตติ้งไม่เยอะแต่ดูกี่ทีก็คลาสสิกตลอกกาล อย่างเช่นแบบชุดแต่งงานที่ออกแบบโดยวีร่าแวง
-ผ้าไหมแก้วอิตาลี,ออร์แกนซ่า หรือ ซิลค์ออร์แกนซ่า ทั้งหมดเป็นผ้าที่มีความพริ้ว เนื้อด้านสาก ไม่เงา ยกเว้นซิลค์ออร์แกนซ่าที่มีความเงามากกว่าเล็กน้อย ผ้าเหล่านี้เหมาะกับการทำ overlay คือใช้คลุมทับด้านนอก เหมาะกับเจ้าสาวที่ต้องการความหวานแต่ไม่อยากใช้ลูกไม้
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น