

“ความว่าง” แตกต่างจาก “ความมี”
ความว่าง คือ ภาวะปลอดโปร่ง ไร้ตัวตน เป็นสุญญากาศ
ความมี คือ ภาวะอัดแน่น เต็ม ไม่มีพื้นที่เหลือสำหรับบรรจุอะไรได้อีก
แม้ “ความว่าง” และ “ความมี” แตกต่างกัน แต่ก็อาศัยกันและกันอย่างแยกไม่ออก เพราะหากปราศจากความว่าง ก็เกิดความมีไม่ได้ หรือความมีจะดำรงอยู่โดยปราศจากความว่างก็ไม่ได้ แก้วบรรจุน้ำได้เพราะข้างในนั้นว่างเปล่า ถนนมีรถวิ่งได้เพราะพื้นผิวถนนนั้นว่างเปล่า โบสถ์วิหาร อาคาร บ้านเรือนมีคนอาศัยอยู่ได้เพราะมีห้องโถงอันว่างเปล่า ในอากาศมีความว่าง นก ผีเสื้อ แมลง และแม้แต่อากาศยาน จึงโบยบินอย่างเสรี “ความว่าง” จึงนับว่ามีคุณต่อ “ความมี” อย่างสูง และความมีก็ขับเน้นให้คุณค่าของความว่างนั้นโดดเด่นขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์
มหากวีคาลิล ยิบราบ เคยนิพนธ์ไว้ว่า “เสาของโบสถ์วิหารนั้น ไม่ได้อยู่ชิดกัน แต่เพราะการอยู่ห่างกันนั่นเอง จึงสามารถรองรับตัวโบสถ์วิหารเอาไว้ได้ และสายพิณนั้นก็แยกกันอยู่ ทว่าเพราะแยกกันอยู่นั่นเอง จึงก่อเกิดสำเนียงอันไพเราะเสนาะซึ้งต่อโสตสัมผัส”
คนสองคนที่อยู่ชิดติดกันเกินไป จนหา “พื้นที่ว่าง” ระหว่างความสัมพันธ์ไม่พบ ก็จะก่อให้เกิดความอึดอัดทุรนทุราย คนรักที่รักกันมากเกินไป จนรักนั้นกลายเป็นความยึดติดครอบครองอย่างคลั่งไคล้ใหลหลง ย่อมทำให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้สึกสูญเสียอิสรภาพ หรือบางทีรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงของในครอบครองของอีกฝ่าย ส่วนคู่รักที่อยู่ห่างเหินกันเกินไป จนไม่อาจเชื่อมต่อถึงกันและกันได้เลย ก็ก่อให้เกิดภาวะห่างเหิน และอาจเจือจางความสัมพันธ์จนกลายเป็นความชินชาและเลิกร้างจากกันไปอย่างไม่ใยดี
ในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนรัก จำเป็นต้องมี “ดุลยภาพ” ที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ความว่างระหว่างความสัมพันธ์” ความว่าง อันเป็นธรรมะชั้นสูงที่เรียกกันว่า “สุญญตา” มีประโยชน์อย่างมหาศาลเมื่อนำมาปรับใช้กับชีวิตคู่ เพราะการที่คนสองคนเรียนรู้ที่จะเปิดพื้นที่ว่างให้แก่กันและกันบ้างนั้น ย่อมก่อให้เกิดความรู้สึกเชื่อมั่นในกันและกันเพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน หากไม่เว้นช่องว่างเอาไว้เสียเลย ภาวะเผด็จการหัวใจ เผด็จการทางความรู้สึก เผด็จการเหนือชีวิตและทรัพย์สินก็จะเกิดขึ้นได้
มนุษย์มีธรรมชาติอยู่อย่างหนึ่งคือ ต้องการความเป็นตัวของตัวเอง ต้องการอิสรภาพ ต้องการความเบาสบายของจิตใจ และต้องการความเชื่อมั่นว่าตัวตนของตนยังคงเป็นไทอยู่เต็มเปี่ยม เมื่อใดก็ตามที่ความสัมพันธ์ก่อให้เกิดความอึดอัด และปวดปร่าเหมือนหายใจอยู่ใต้น้ำ เมื่อนั้นเอง รอยร้าวแห่งความสัมพันธ์จะเริ่มเผยตัวตนของมันออกมา หากเรารู้ไม่ทัน จากรอยร้าว อาจถูกขยายกลายเป็นรอยปริแยก และแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้ในที่สุด
อย่าลืมว่า รูปแบบหนึ่งของความรักคือ การเคารพต่อศักดิ์ศรีของอีกฝ่ายหนึ่งด้วยบริสุทธิ์ใจ การที่คนรักกัน ยอมให้ใครอีกคนหนึ่งมี “อาณาจักรส่วนตัว” บนวิถีแห่งความสัมพันธ์ของคนสองคนบ้างนั้น จึงเป็นการแสดงความเคารพต่อศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ของเขาอย่างละมุนละไม เมื่อได้รับการเคารพ เมื่อได้รับการให้คุณค่า ก็ย่อมประทับใจ ความประทับใจนั้น จะงอกงามเป็นความรักที่มาพร้อมกับความปลอดโปร่งหัวใจ และความแช่มชื่นเบิกบานว่าตัวเองเลือกคนไม่ผิด
ความรักที่มีส่วนผสมของความปีติเบิกบาน เพราะตระหนักรู้ว่า ในความรัก ตนยังมีอิสรภาพพอสมควร มีโอกาสจะกลายเป็นรักแท้ที่หนักแน่นดังแผ่นผา มากกว่าความรักที่มุ่งแต่จะครอบครองอยู่เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งรังแต่จะนำไปสู่ความพยายามขัดขืนและดิ้นรนหาทางสลัดออกจากความสัมพันธ์
ความว่างระหว่างคนสองคนจึงมีความจำเป็น ไม่น้อยไปกว่าการที่คนสองคน “มี” กันและกัน ใน “ความมี” หากปราศจาก “ความว่าง” จะมีความเหินห่างรออยู่ตรงปลายทาง แต่หากใน “ความมี” มีความว่างเป็นส่วนผสม กลับจะมีความมั่นคงเป็นกำไร
คู่รักที่รู้จักบริหารความว่างและความมีอย่างลงตัว คือ คู่รักที่มีโอกาสกลายเป็นคู่แท้ของกันและกันตลอดไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น